ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ ดูดงบ Moto GP 4 พันล้าน ไม่ต่างแก๊งสแกมเมอร์ ต้มตุ๋นรัฐบาล หลอกเอาเงินชาติ
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ประชุมครม. โดยรัฐบาล“อนุทิน ชาญวีรกูล” ได้อนุมัติงบประมาณล่วงหน้า 3,997 ล้านบาทเศษเพื่อจัด Moto GP ปี 2570–2574
หากจำกันได้ ในช่วงรัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี เคยบอกว่าจะจัด “โมโต จีพี” ปี 2569 เป็นครั้งสุดท้าย แล้วจะไม่ต่อสัญญาอีก เพราะเห็นว่าไม่คุ้มกับผลที่ได้รับ ถ้าจะจัดเพื่อดึงนักท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ควรจะเป็น “ฟอร์มูล่า 1” ไปเลย
“เนวิน ชิดชอบ” บ้านใหญ่บุรีรัมย์ ประธาน หรือ เจ้าของสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต สถานที่จัดการแข่งขันโมโตจีพี ก็ออกมาแสดงความเห็นสวนทางทันที
มีการยกตัวเลขต่างๆ มาอ้างอิง ว่าในการจัดการแข่งขันรัฐบาลลงทุนปีละไม่เกิน 500 ล้านบาท และมีภาคเอกชนเข้ามาร่วมสนับสนุนอีกไม่น้อยกว่าปีละ 300 ล้านบาท แต่สร้างเงินทุนหมุนเวียน ส่งเสริมธุรกิจ กระตุ้นเศรษฐกิจได้มากกว่า 5,000 ล้านบาท มีการถ่ายทอดสดไปกว่า 200 ประเทศทั่วโลก มีผู้ชมเกือบ1,000 ล้านคน
ประเทศไทย ได้จัดการแข่งขันโมโต จีพี มา 7 ปีติดต่อกัน โดยเจ้าของลิขสิทธิ์จัดการแข่งขัน จะทำสัญญากับรัฐบาลเท่านั้น ซึ่งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นผู้จัดการแข่งขัน ในนามของรัฐบาล
ขณะที่ สนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เป็นเพียงผู้ให้การสนับสนุนให้ใช้เป็นสนามแข่งขัน โดยไม่เคยคิดค่าใช้จ่ายเลย และพร้อมให้การสนับสนุนตลอดไป หากรัฐบาลยังจัดการแข่งขันอยู่
“เนวิน” บอกว่า รายได้จากการขายบัตรเข้าชมการแข่งขัน และรายได้จากสปอนเซอร์ เป็นของรัฐบาลทั้งหมด บริษัทบุรีรัมย์ยูไนเต็ด อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จำกัด ในฐานะเจ้าของสนามช้างฯ นอกจากไม่มีรายได้โดยตรงจากการจัดการแข่งขันแล้ว ยังต้องเสียรายได้ จากการส่งมอบสนามให้รัฐบาล ใช้เตรียมการจัดการแข่งขัน และแข่งขัน เป็นเวลา 1 เดือน ซึ่งคิดเป็นมูลค่าประมาณ 10 ล้านบาท
เพียงแต่ บริษัทได้รับรายได้ทางอ้อม คือ มีเงินหมุนเวียน และเงินสะพัดในจังหวัดบุรีรัมย์ ทำให้ประชาชนคนบุรีรัมย์ ทำธุรกิจการค้า ร้านอาหาร โรงแรม ที่พัก มีรายได้ นักท่องเที่ยว และแฟนกีฬามอเตอร์สปอร์ตทั่วโลก รู้จัก บุรีรัมย์ แค่นี้ตนเอง ก็พอใจแล้ว
นั่นเป็นความเห็นของ “เนวิน” ที่พยายามโน้มน้าวให้รัฐบาลเซ็นสัญญากับเจ้าของลิขสิทธิ์การแข่งขัน โมโต จีพี ต่อไป
หากมองย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นของการเป็นเจ้าภาพ จัดการแข่งขันจะพบว่า มติ ครม. ครั้งที่ 1 (ปี 61-63) สมัยรัฐบาล คสช. อนุมัติงบฯ 300 ล้านบาท (เฉลี่ย 100 ล้าน/ปี) เพื่อ "สนับสนุน" ค่าลิขสิทธิ์ "บางส่วน”
มติ ครม.ครั้งที่ 2 (ปี 64-69) สมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชส (พรรคภูมิใจไทย ร่วมรัฐบาล) อนุมัติ 900 ล้านบาท (เฉลี่ย 180 ล้าน/ปี) สนับสนุน เพิ่ม "ค่าจัดงาน” (5 ปี)
ล่าสุด มติ ครม.ครั้งที่ 3 (ปี 70-74) สมัยรัฐบาล “อนุทิน ชาญวีรกูล” นำโดยพรรคภูมิใจไทย อนุมัติ 3,997 ล้านบาทเศษ (เฉลี่ย 800 ล./ปี) หรือเพิ่มขึ้น 8 เท่า จากปีเริ่มต้น
เห็นชัดว่า ยิ่งจัด ยิ่งจ่ายแพง!
“อนุทิน”บอกว่าจะเป็นรัฐบาลแค่ 4 เดือน เข้ามาเพื่อภารกิจ “ยุบสภา” แต่ตอนนี้ได้สร้างหนี้ให้กับประเทศชาติแล้ว เกือบ 4,000 ล้านบาท
ใครๆ ก็มองออกว่า เป็นมติครม.ที่ “เอื้อผลประโยชน์ตัวเองและพวกพ้อง” ไม่ใช่เพื่อประเทศชาติ... เพราะเป็นการ "ดึงงบฯในอนาคตมาใช้" เพื่อสนับสนุนธุรกิจ ที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายผู้มีอำนาจในปัจจุบัน โดยอ้างว่าเป็นการ "ส่งเสริมการท่องเที่ยว"
ลำพังค่าตั๋วเข้าชม และรายได้จากสปอนเซอร์ ที่จะเข้ารัฐนั้น ไม่พอกับงบฯที่จ่ายไป รัฐบาลขาดทุนเห็นๆ เป็นอย่างนี้มาตลอด ขณะเดียวกันผลประโยชน์ กลับไหลเข้ากระเป๋าเอกชนกลุ่มเดิม ที่อยู่ในกลุ่มเครือข่ายบ้านใหญ่บุรีรัมย์ อย่างชัดเจน
เพราะที่ดินโดยรอบสนามแข่งขัน ส่วนใหญ่เป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย แต่กลับถูกยึดครอง พัฒนาเป็น โรงแรม ปั๊มน้ำมัน สนามฟุตบอล และศูนย์ธุรกิจ โดยบริษัทในเครือตระกูลเดียวกัน งบประมาณเงินภาษีประชาชน ถูกยักย้าย ถ่ายโอน เป็นรายได้ของ “กลุ่มอำนาจทางการเมือง”
ขณะเดียวกันก็มีการมองว่า สัญญานี้จะเป็นตัวประกันเรื่องที่ดินเขากระโดง เพราะถ้ามีการเพิกถอน ขับไล่ ผู้ที่บุกรุกที่ดินรัฐ ซึ่งรวมทั้งสนามช้างฯ ด้วย ก็จะมีข้ออ้างเรื่องค่าผิดสัญญา กับ โมโตจีพี ที่รัฐบาลต้องจ่าย
บทสรุปของเรื่องนี้คือ พวกแก๊งสแกมเมอร์ ที่หลอกลวงเอาเงินในบัญชีของประชาชน ว่าร้ายแล้ว ยังสู้พวก “ก๊วนการเมืองสแกมเมอร์” ที่หลอกเอาเงินของประเทศชาติ ทีละเป็นพันล้าน ไม่ได้
++ "รองโอ๋" ลุกขึ้นสวน "โจ๊ก" โกหกซ้ำซาก
ระหว่างที่คดียังรุมหลายด้าน "โจ๊ก" พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ก็ยังออกมาให้ข่าวโยงคนนั้นคนนี้ ไปทั่ว
ล่าสุด "รองโอ๋" พล.ต.ต.ทินกร รังมาตย์ รอง ผบช.สอท. ที่พักฟื้นนอนโรงพยาบาล จากอาการผ่าตัดกระดูกทับเส้น ยังต้องลุกขึ้นนั่งชี้แจง เพราะทนไม่ไหวกับคำพูดของ อดีต รอง ผบ.ตร.ที่นาทีนี้ “มั่ว” ไม่พัก
“โจ๊ก” ออกมาบอกว่า “รองโอ๋” คือหนึ่งในตำรวจชุด PCT4 ที่จับ “ส.ส.ชนนพัฒฐ์” หรือ กฤต นาคสั้ว และยังโยงว่า “ชุดนี้” เกี่ยวข้องกับการวิ่งเต้นจากเว็บพนัน 100 ล้านบาท เพื่อแลกกับการสั่งไม่ฟ้อง พูดซ้ำจนคนที่ไม่รู้เรื่องอาจจะหลงเชื่อว่าจริง
แต่ “รองโอ๋” ลุกขึ้นมาสวนกลับ กลางเตียงผู้ป่วยว่า “โจ๊ก”พูดไม่จริงสักคำ!
ความจริงมีหนึ่งเดียวก็คือ ตอนนั้น “รองโอ๋” เป็นผู้การที่ยะลา อยู่ชายแดนใต้ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ PCT4 เลย จะจับใครตรงไหนก็ยังไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ แต่ “โจ๊ก” ผูกใจอาฆาต ก็เอาชื่อไปโยง
“พล.ต.ต.ทินกร” เปิดใจว่า ตอนนั้นอยู่ ยะลา 2 ปี ออกพื้นที่ตลอด มีลูกน้องถูกระเบิดเสียชีวิตไป 1 คน ทำงานด้วยความยากลำบาก ภารกิจหลักของใน จ.ยะลา ยังเป็นพื้นที่สีแดง ยังมีการเกิดเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง มีหลายเหตุการณ์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระเบิด เรื่องยิง อะไรทั้งหลาย ซึ่งก็มีเหตุการณ์ที่ผู้ใต้บังคับบัญชา โดนระเบิดขว้างไปเข้าฐานจนเสียชีวิตก็มี
ตอนนั้นออกตรวจควบคุมดูแลสถานการณ์แต่ละพื้นที่ อย่างต่อเนื่อง ทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ และดูแลทุกข์สุขให้กับพี่น้องประชาชน แต่ก็ผ่านมาได้ ไม่หนักใจเท่าเหตุการณ์ที่เกิดกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในวันนี้
พอย้ายจากยะลา ก็มาอยู่ สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ต่อด้วยกองบัญชาการตำรวจนครบาล ถึงพึ่งมาอยู่ “ไซเบอร์” ไม่นาน
ยืนยันว่า ช่วงนั้นไม่ได้อยู่ในชุด PCT4 ตามที่เป็นกระแส เพิ่งมาตอนจับกันไปแล้ว โดยส่วนตัวก็ไม่ได้มีปัญหากับนายตำรวจคนดัง
ในประเด็นที่มีการกล่าวอ้าง ระบุว่า ชุด PCT4 มีการกลับคำให้การ จนเป็นเหตุที่มีการสั่งไม่ฟ้อง ส.ส.คนดัง จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่ได้รู้เห็นด้วยแต่อย่างใด
ส่วนที่ “พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์” บอกว่า “พล.ต.ต.ทินกร” เคยไปขอศาลอาญาออกหมายจับคดีที่เกี่ยวข้องกับเว็บการพนันโดยไม่มีการออกหมายเรียกเป็นการกลั่นเเกล้งนั้น
“รองโอ๋” ยืนยัน เรื่องมาจากการทำตามหน้าที่ ไม่ได้มีอำนาจตัดสินใจคนเดียว การทำงานทุกอย่างเป็นคณะทำงานใหญ่ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ส่วนตัวเป็นเพียงผู้ปฏิบัติงานคนหนึ่งเท่านั้น ผู้บังคับบัญชาให้ทำอะไร ก็ทำตามหน้าที่ ถ้าเห็นว่าเป็นคำสั่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย
เรื่องนี้คณะทำงานสืบสวนสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐาน จนพยานหลักฐานเชื่อมั่นว่าจะเสนอออกหมายจับได้ ตามมติที่ประชุม ว่าให้ไปเสนอออกหมายจับ ซึ่งโดยปกติความผิดเรื่องฟอกเงิน มีอัตราโทษสูงอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องออกหมายเรียก เราสามารถที่จะไปเสนอศาลออกหมายจับได้เลย ซึ่งเป็นความเห็นในรูปแบบของคณะทำงาน
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของคณะกรรมการตกลงใจร่วมกัน และมีมติของผู้บังคับบัญชาให้ “รองโอ๋” ที่มียศพลตำรวจตรี ในดำเนินการขอหมายจับต่อศาลอาญา
เจ้าตัวยังบอกว่า วันนี้ที่ต้องออกมาพูด ทั้งที่อยู่ในโรงพยาบาล
แต่เห็นว่าจำเป็น ปกติป่วยไม่ค่อยบอกใคร เพราะรู้ว่าทุกคนก็วุ่นวายอยู่ในสถานการณ์ที่หนักหน่วง ไม่อยากให้มาต้องกังวลในเรื่องของตัวเองอีก แต่ถ้าไม่พูด เกรงว่ามันจะเป็นไฟลุกลาม ก็อยากขอร้องคนที่ให้ข้อมูลต่อๆไปว่า ให้เช็กข้อมูลดีๆ สุดท้ายแล้วคนเสียหายก็เป็นคนในองค์กรตำรวจเอง แล้วก็ทำให้ประชาชนเสื่อมเสียศรัทธาในองค์กร แล้วเราจะทำงานต่อไปกันยังไงถ้าประชาชนไม่ศรัทธา
ก่อนจาก ฝากบอก “โจ๊ก” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ โจ๊กพูดผิด-พูดเกินจริง!!
ตั้งแต่เคสอัดเสียงบ้านนักการเมือง ซึ่งสุดท้ายต้องออกมายอมรับว่า อัดจริง จนมาถึงคดีเว็บพนัน ที่โยงใครไม่ได้ ก็โยนใส่ตำรวจที่ทำหน้าที่จับตัวเอง และพวกพ้อง
งานนี้สังคมต้องแยกแยะระหว่างคำพูด "เอาดีใส่ตัว โยนชั่วให้คนอื่น" และ ปฏิบัติการเผาบ้านของ โจ๊กให้ดีๆ
เชื่อว่าอีกไม่นานเมื่อ "กฎแห่งกรรม" ทำงาน เมื่อนั้นน่าจะไม่ได้ยินเรื่องโกหก จากอดีตนายตำรวจคนนี้อีกต่อไป


