สภาฯ 280 เสียง ผ่านร่าง พ.ร.บ.สันติสุข วาระสาม “ณัฐวุฒิ” เพิ่มมาตรา 9/1 เปิดทางเยาวชนต่ำกว่า 18 ปี เข้ากระบวนการฟื้นฟูแทนโทษอาญา อ้างกัน สว.ตีตก “ทนายแจม“ อัดเขียนเลี่ยงบาลี ย้ำต้องคืนความยุติธรรมทุกฝ่ายเท่าเทียม กมธ.เพิ่มบัญชีท้ายรวม 34 ฐานความผิด ครอบคลุมคดีการเมืองสำคัญตลอดสองทศวรรษ
วันนี้ (21ต.ค.) การประชุมสภาฯ ซึ่งพิจารณาร่างพ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ... ต่อมาเป็นการพิจารณามาตรา 9/1 ซึ่งคณะกรรมาธิการเพิ่มขึ้นใหม่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อประธานกรรมาธิการ ชี้แจงว่า เนื่องจากการประชุม ร่วมกันของวิปทั้งสองฝ่าย มีมติเห็นชอบให้เพิ่ม ข้อความเล็กน้อยว่า กรณีผู้กระทำความผิดอายุต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ ระหว่างร้องขอไม่ว่าผู้นั้นจะถูกดำเนินคดีหรือแจ้งข้อกล่าวหาแล้วหรือไม่ ไม่ว่าคดีอยู่ในขั้นตอนใด และเพิ่มวรรคท้ายว่าให้จัดทำแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟูผู้กระทำความผิด โดยตัดคำว่า “เสนอ“ ออกและใช้คำว่า “ส่ง” แทน คือส่งแผน พร้อมความเห็นไปยังพนักงานอัยการ เดิมเป็น ”เพื่อพิจารณา“ แต่ตัดออกเป็น ”เพื่อใช้มาตรการพิเศษ“ แทนการดำเนินคดีอาญา
นอกจากนี้ กรณีพนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณา โดยตัดคำว่า ”ขอ“ แล้วใส่คำว่า ”เพื่อ“ ให้ใช้มาตรการ และเพิ่มคำว่า “และ” สั่งยุติคดี โดยไม่ต้องมีคำพิพากษา ตามกฏหมายว่าด้วยศาลเยาวชนและครอบครัว ส่วนที่เหลือเป็นไปตามข้อความเดิม
นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า การเพิ่มมาตรานี้มาจากการเห็นว่าการเปิดโอกาสหยิบยื่นความปรารถนาดีให้กับเยาวชน แม้เขาจะถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดก็ตาม แต่หากวันกระทำการอายุไม่ถึง 18 ปี เราถือว่าสภาฯ นี้ควรจะพิจารณาและเห็นชอบร่วมกัน ตนเสนอสาระนี้โดยผ่านการพูดคุยกับหลายองค์กรและผู้รู้หลายท่าน ไม่มีการขัดต่อหลักการของร่างทั้ง 3 ร่างที่สภารับมาในวาระแรก ไม่ใช่การเขียนกฎหมายขึ้นใหม่ หรือเสริมกล้ามเนื้อสร้างอำนาจให้ฝ่ายบริหารที่จะไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม หรือจะมีอำนาจเหนือกว่า การใช้ดุลพินิจของฝ่ายตุลาการ
ด้านน.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะกรรมาธิการ เสนอว่า แม้จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวแล้ว แต่ก็ยังมีการยื่นให้ศาลใช้ดุลพินิจอยู่ดี ถือเป็นการออกกฏหมายในการเลี่ยงบาลี โดยใช้กลไกของศาลเยาวชนแทน ตนยังยืนยันเหมือนเดิมว่ากฎหมายนี้แม้จะผ่านไปแล้ว ก็ไม่สามารถลบล้างได้ วันนี้เราพยายามนิรโทษกรรมให้กับบางคนบางกลุ่ม พยายามจัดการเรื่องการเงินให้กับบางคนและทิ้งคนอีกกลุ่มหนึ่งไว้ข้างหลัง
ขณะที่นายณัฐวุฒิ กล่าว ย้ำว่าการเสนอร่างในมาตรานี้ ไม่ได้มีเจตนาเลี่ยงบาลีแต่อย่างใด แต่เป็นการพยายามให้กฎหมายนี้เดินหน้าและผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภาในที่สุด เราไม่มีเวลามากกว่านี้ เหลือวันนี้เพียงวันเดียวเพราะหากจะเข้าวุฒิสภาให้ทันภายในสมัยประชุมนี้ จะต้องพิจารณาให้เสร็จวันนี้ เพื่อมีการสรุปรายงานและส่งไปให้วุฒิสภาภายในวันที่ 22 ตุลาคม
นายณัฐวุฒิ กล่าวด้วยว่า ตนจึงเสนอให้ทุกฝ่ายหารือกันเพื่อให้เกิดความชัดเจนและเข้าใจตรงกันในสภาว่าเมื่อผ่านออกไปแล้ว วุฒิสภาจะไม่คว่ำหรือตีกลับมา ยืนยันว่าไม่เคยมีการตอบสนองข้อเสนอนี้หรือการหารือกันก็ไม่ได้ตอกย้ำให้เราเชื่อมั่นว่าหากไม่ได้เสนอร่างแบบนี้ไปแล้วจะสามารถผ่านวุฒิสภาได้ ซึ่งตนถามไป 3 รอบ แต่ก็ไม่มีใครยืนยัน เพราะหากวุฒิสภาตีกลับมาหมายถึงตกทั้งฉบับ
นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า ตนเห็นว่าเจตนาตั้งต้นของกรรมาธิการทุกคนไม่ต่างกัน เรารู้สึกเหมือนกันว่าการเปิดโอกาสหยิบยื่นความปรารถนาดีให้เยาวชนเป็นเรื่องพึงกระทำและต้องกระทำได้ เพียงแต่วิธีการที่จะให้ผ่านการบังคับใช้ มันปรากฏขึ้นเช่นนี้ และคงมีการตั้งคำถามว่าแล้วตนจะมั่นใจได้อย่างไรว่าที่ปรากฏอยู่ในมาตรา 9/1 จะผ่านวุฒิสภา กรรมาธิการส่วนหนึ่งบอกตนว่า หากไม่ขัดกับหลักการสำคัญที่สภาฯ นี้รับไปแล้วทั้ง 3 ร่าง วุฒิสภาก็เปิดใจรับได้ และสามารถผ่านร่างนี้จากวุฒิสภาไปได้ ฉะนั้น ตนจึงได้นำเสนอเช่นนี้ และคิดว่างานนี้คงหลีกไม่พ้นที่จะถูกวิจารณ์
ฟากนายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวสนับสนุนการอภิปรายของน.ส.ศศินันท์ ว่า ไม่ว่าจะคิดในแง่มุมไหน ไม่ว่าจะสร้างสันติสุขโดยรื้อความผิดให้กับทุกฝ่าย ทุกสี เรื่องร้ายแรงขนาดไหนก็นิรโทษกรรมได้ แต่พอกับเยาวชน อัตราโทษต่ำกว่าข้อหาก่อการร้ายมาก เราควรทำให้เบ็ดเสร็จกว่าได้หรือไม่ ที่อ้างว่ามีเวลาน้อย สภาต้องผ่านภายในวันนี้ เรายังมีอีกหลายชั่วโมง ควรให้โอกาสเยาวชนมากกว่านี้ได้หรือไม่ มิเช่นนั้นมันจะกลายเป็นบาปติดตัวพวกเราไปอีกยาวนานว่าวันหนึ่งเรานิรโทษกรรมคนสองทศวรรษที่สู้กัน และหลายกรณีไม่ใช้หลักนิติธรรม ขัดหลักนิติธรรมอย่างร้ายแรง ทำให้ประเทศเสียหายอย่างยับเยิน อัตราโทษมหาศาลถึงขั้นประหารชีวิตแต่เราก็นิรโทษกรรมให้หมด พอมากับเด็กยากเย็นขนาดนี้ได้อย่างไร
นายจาตุรนต์ กล่าวต่อว่า ตนเข้าใจว่าฐานความผิดเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่อัตราโทษก็ต่ำกว่าเรื่องที่เรานิรโทษกรรมไปอย่างง่ายดาย ที่อ้างว่าเดี๋ยววุฒิสภาจะเห็นชอบเพราะขาดหลักการ ตนยืนยันว่าไม่ได้ขัดหลักการทั้ง 3 ฉบับมีอย่างน้อย 2 ฉบับที่ไม่ได้ระบุฐานความผิดอะไรไว้ เขาให้นิรโทษกรรมเพื่อสันติสุขเราก็ควรใช้หลักการนั้นก็ได้ หากจะต้องเสี่ยง เราก็ต้องเสี่ยงด้วยกัน แต่ละฝ่ายก็ไปพูดคุยกัน จะได้อานิสงส์จากร่างพ.ร.บ.นี้ จึงขอให้กรรมาธิการพิจารณาอีกครั้งได้หรือไม่ เพราะเชื่อว่าหากจะโหวตก็ต้องผ่านอยู่แล้ว แต่เวลามีคนมาศึกษาจะมีการพูดถึงกรรมาธิการและสภานี้ไปอีกนาน และเราจะตอบเขายากมากว่า มันเป็นเรื่องความยุติธรรมจริงแค่ไหน
ส่วนนายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ประธานวิปฝ่ายค้าน พรรคประชาชน เสนอให้มี บันทึกเจตนารมณ์ไว้ชัดเจน เพื่อให้ศาลใช้เป็นแนวทางในการพิจารณา ว่ามาตรานี้มีเป้าหมายเพื่อนำอำนาจให้คณะกรรมการส่งเรื่องยุติคดี ไม่ใช่เปิดช่องให้ตีความกว้าง
ขณะที่ นายเผ่าพันธ์ ชอบน้ำตาล รองเลขาธิการประธานศาลฎีกา ในฐานะ กมธ.เสียงข้างมาก ชี้แจงว่า มาตรานี้เขียนเพื่อหาทางออกของข้อจำกัดในมาตรา 3 แต่เราเปิดช่องให้เป็นความเห็นของคระกรรมการฯ และขึ้นอยู่กับแผนฟื้นฟู เพื่อไม่ถูกดำเนินคดีถึงที่สุด
หลังถกเถียงกว่า 2 ชั่วโมง ที่ประชุมมีมติ เห็นชอบมาตรา 9/1 ด้วยคะแนน 276 ต่อ 1 งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนน 2
จากนั้นได้พิจารณามาตรา 10–12 โดยไม่มีผู้ติดใจคำแปรญัตติ และเข้าสู่ บัญชีแนบท้าย ซึ่งคณะกรรมาธิการได้แก้ไขเพิ่มเป็น 34 ฐานความผิด ครอบคลุมคดีการเมืองสำคัญตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา
นายสหัสวัต คุ้มคง ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาชน เสนอให้ “ตัดบัญชีแนบท้ายออก” เพื่อเปิดทางพิจารณารายกรณี แต่ นายนิกร จำนง กมธ.เสียงข้างมาก ยืนยันให้คงไว้ โดยระบุว่า “ผู้ต้องคดีเป็นผู้เสนอเองและผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบที่สุดแล้ว”
ขณะเดียวกัน นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เสนอให้เพิ่มข้อความต่อท้ายว่า“รวมถึงคดีมาตราอื่นที่เป็นคดีการชุมนุมหรือแสดงออกทางการเมืองที่ไม่ระบุในบัญชีแนบท้าย”แต่นายนิกรชี้แจงว่า หากเปิดปลายแบบนั้นอาจ “เท่ากับตีเช็คเปล่า” และก่อปัญหาในทางปฏิบัติ
สุดท้าย ที่ประชุมลงมติ เห็นชอบร่างพ.ร.บ.สันติสุขทั้งฉบับ 280 เสียง งดออกเสียง 2 เตรียมส่งให้วุฒิสภาพิจารณาต่อในลำดับถัดไป