xs
xsm
sm
md
lg

พท.ระส่ำของจริง “ขาใหญ่”แตกหัก !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


แพทองธาร ชินวัตร - สมพงษ์ อมรวิวัฒน์
เมืองไทย 360 องศา

การลาออกของ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ จากพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ที่ผ่านมา พร้อมกับร่ายยาวเหตุผลต่างๆ นานา แต่พอสรุปสาเหตุหลักๆ ก็คือ พรรค “ไม่เห็นหัว” และยังมี “ผู้มากบารมี” ในพรรคเป็นผู้สั่งการข้ามหัว ล้วงลูก สารพัดตามที่ตัวเองต้องการ

แน่นอนว่า ที่ต้องบอกว่า การลาออกของ นายสมพงษ์ ทำให้พรรคเพื่อไทยสั่นสะเทือนอย่างหนัก อย่างแรกก็คือ นายสมพงษ์ เป็นคนเก่าแก่ เป็นระดับผู้อาวุโสของพรรค เคยเป็นหัวหน้าพรรคมาก่อน แม้ว่าการมานั่งเก้าอี้ตัวนี้ ย่อมต้องมี “ใบสั่ง” จากเจ้าของพรรคคือ นายทักษิณ ชินวัตร ก็ตาม แต่อีกด้านหนึ่งย่อมมองเห็นว่า เขาย่อมเป็น“ลูกน้อง”ที่ไว้ใจได้ และต้องมีบารมีในระดับหนึ่งอยู่แล้ว

ขณะเดียวกัน ที่ต้องพิจารณากันก็คือ พรรคเพื่อไทยมีฐานเสียงสำคัญคือ “ภาคเหนือ” ไม่ต่างจากภาคอีสาน ซึ่งอาจจะเป็นสัญลักษณ์มากกว่าด้วยซ้ำไป เนื่องจากจังหวัดเชียงใหม่ เป็นบ้านเกิดของนายทักษิณ ชินวัตร จนอาจเรียกได้ว่าเป็นเมืองหลวงทางการเมืองของพวกเขานั่นแหละ

แม้ว่าผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา ภาคเหนือ โดยเฉพาะ จ.เชียงใหม่ จะพ่ายแพ้ไปหลายเขตให้กับพรรคประชาชน ทำให้พรรคเพื่อไทยเสียหน้าไม่น้อย เพราะอย่างที่รู้กันว่า นี่คือ บ้านเกิดของ ทักษิณ ชินวัตร แต่ก็ยังถือว่ามีอีกหลายจังหวัด ที่พ่ายแพ้ไม่เหมือนเดิม ขณะเดียวกันครอบครัว “อมรวิวัฒน์” ที่มี นายสมพงษ์ เป็นหัวเรือใหญ่ ย่อมกระทบด้านเครดิตไปด้วย แต่ถึงอย่างไร เรื่องถึงขนาดยื่นใบลาออกแบบนี้ เรียกว่าต้อง “แตกหัก” แบบไม่ไว้หน้ากันเลย และเมื่อพิจารณาจากคำพูดของนายสมพงษ์ ถือว่าเหลืออดจริงๆ

นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ สส.บัญชีรายชื่อ อธิบายว่า สาเหตุมาจากปัญหาการบริหารจัดการภายในพรรคที่สะสมมาตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งปี 2566 และยืนยันว่า ไม่เกี่ยวกับการที่ พรรคเพื่อไทยต้องมาเป็นฝ่ายค้าน หรือ เผชิญกระแสตกต่ำในช่วงนี้แต่อย่างใด

“ยืนยันว่าเป็นเรื่องการบริหารจัดการภายในพรรค สะสมมาถึงจุดหนึ่งที่ไปต่อไม่ไหว ไม่ได้เกี่ยวกับการที่พรรคต้องมาเป็นฝ่ายค้าน และยืนยันว่าไม่ได้ถูกพรรคไหนดูด เพราะแม้จะมีคนรู้จัก และสนิทสนมคุ้นเคยกับหลายพรรคการเมือง แต่คงไม่มีพรรคไหนกล้ามาดูดผมแน่นอน” นายสมพงษ์ ระบุ

นายสมพงษ์ ขยายความว่า ชนวนเหตุสำคัญที่ตัดสินใจลาออกจากพรรคเพื่อไทย เพราะระยะหลังการบริหารจัดการภายใน รวมถึงการจัดลำดับความสำคัญของพรรคมีปัญหาค่อนข้างมาก การเสนอความคิดเห็นใดๆ ไม่เป็นไปตามความต้องการของผู้มากบารมีในพรรค ซึ่งเชื่อเหลือเกิน ว่า สส.ในพรรคเพื่อไทยส่วนใหญ่ ก็อึดอัดใจกับสถานการณ์ในพรรคที่เกิดขึ้น และรับไม่ได้กับสิ่งที่ต้องเผชิญอยู่ในขณะนี้ แต่เผอิญที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ก็เลยไม่ถูกนำมาพูดถึง เรื่องก็เลยซุกอยู่ใต้พรมมาตลอด ผู้บริหารเองก็ทำเป็นมองไม่เห็น หรือไม่ใส่ใจที่จะแก้ปัญหา ทั้งที่มีผลการเลือกตั้งทั้งในระดับ สส. หรือในระดับท้องถิ่น ก็ฟ้องอยู่ว่า พรรคตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก ที่สำคัญช่วง 2 ปีที่ได้เป็นรัฐบาล ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย ยังมาเจอวิกฤตแทรกซ้อน จนปรับกระบวนท่ากันไม่ถูก

ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัด ก็ในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ซึ่งตนเคยมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการมาตลอด ก่อนจะถูกลดบทบาท กระทั่งไม่สามารถแสดงความคิดเห็น หรือเสนอแนะใดๆได้เลย อย่างที่ จ.เชียงใหม่ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของพรรค ยึดครองมาตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย แต่การเลือกตั้งล่าสุด แทบเอาตัวไม่รอด ได้มาแค่ 2 จาก10 เขตเลือกตั้ง ขณะที่คะแนนบัญชีรายชื่อก็ตามหลังคู่แข่งเป็นแสนคะแนน ถือเป็นจุดบ่งชี้ชัดเจนว่า กำลังเดินผิดทาง ไม่รีบปรับ ก็ลงเหว

จุดเปลี่ยนก็คงตั้งแต่พรรคเปลี่ยนมาสนับสนุน นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร เป็นผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เมื่อปี 2563 แม้จะชนะมาได้ 2 สมัย แต่ก็ต้องระดมทุกองคาพยพไปช่วย ปัญหาจริงๆอยู่ที่ ตัวนายก อบจ.เชียงใหม่ ทำงานแบบไม่เอาใคร ไม่เคยประสาน สส. หรือผู้สมัคร สส. ของพรรคที่ไม่ใช่พวกตัวเอง ก็เลยพังอย่างที่เห็น

อย่างไรก็ดี จุดแตกหักจริงๆ มาจากการเปิดตัวผู้สมัคร สส.ลำพูน ที่เขาอ้างว่า ได้รับหน้าที่ให้ไปเฟ้นหาตัวผู้สมัคร แต่เมื่อได้มาแล้ว และมีการลงพื้นที่ไปแล้ว กลับมีการเปลี่ยนแปลงเป็นคนอื่น ซึ่งการประกาศลาออกของ นายสมพงษ์ ก็เกิดขึ้น วันเดียวกับที่พรรคเพื่อไทย มีการประกาศรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.ล็อตที่สอง และในภาคเหนือ จ.ลำพูน ก็เป็นคนอื่น ไม่ใช่คนที่ นายสมพงษ์ นำไปเปิดตัวในพื้นที่

แม้ว่าเขาไม่ได้เอ่ยชื่อว่า “ผู้มีบารมี” ในพรรคที่ว่านั้นคือใคร แต่ตอนหนึ่งมีกล่าวขอบคุณ นายทักษิณ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่กลับไม่เอ่ยถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกฯ และลูกสาวของทักษิณ จึงไม่แน่ใจว่า เป็นคนเดียวกับ “ผู้มีบารมี” ในพรรคดังกล่าว หรือไม่ พร้อมทั้งยืนยันว่า การลาออกครั้งนี้เป็นการลาออกคนเดียว ไม่เกี่ยวกับ นายจุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์ บุตรชาย แต่อย่างใด เพราะถือว่าเวลานี้เป็นผู้อาวุโสในพรรคแล้ว

“ที่ผ่านมา ได้ทุ่มเทอย่างเต็มความสามารถ ต้องแบกรับความกดดัน ความรู้สึก และผลกระทบจากการตัดสินใจของผู้มากบารมีในพรรค ก็ด้วยความปรารถนาดีกับพรรค และกับครอบครัวชินวัตรมาโดยตลอด กลับถูกตอบแทนในแบบที่ไม่เคยนึกฝัน จนเรียกว่าหมดความศรัทธาที่มีต่อพรรค ที่เคยอุทิศอุดมการณ์ชีวิตมายาวนานหลายสิบปีโดยสิ้นเชิง”

ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทย ตกอยู่ในภาวะ “เลือดไหล” ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสาน ที่เรียกว่า “อีสานใต้” ถือว่า “ไป” เกือบทั้งหมดแล้ว ที่เหลือยังรอจังหวะ เพราะกังวลเรื่อง “สถานะส.ส.” เท่านั้น ซึ่งสร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างมาก กับการคาดหมายว่า ในการเลือกตั้งคราวหน้าพรรคเพื่อไทย อาจกลายเป็นพรรคอันดับสี่ หรือ คู่คี่กับพรรคกล้าธรรม มีการคาดการณ์จำนวน ส.ส. ที่จะได้ราว 60-70 คน เท่านั้น

แต่การลาออกของ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ คราวนี้ย่อมส่งผลต่อความรู้สึกของคนในพรรคเพื่อไทย เพราะถือว่าเป็นระดับผู้อาวุโส และที่สำคัญย่อมส่งผลสะเทือนในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และภาคเหนือทั้งหมด ขณะเดียวกัน จากคำพูดของ นายสมพงษ์ ยังชี้ชัดอีกว่า ในพื้นที่เชียงใหม่ไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกัน แบบต่างคนต่างทำ ย่อมส่งผลต่อการเลือกตั้งคราวหน้า ที่เชื่อว่า นอกเหนือจากภาคอีสานที่หดหายไปมากแล้ว ยังต้องจับตาภาคเหนือ เพราะหากถดถอยกว่าเดิม ก็พอมองเห็นลางหายนะอยู่ตรงหน้าแล้ว !!


กำลังโหลดความคิดเห็น