xs
xsm
sm
md
lg

เพื่อไทย “แค้นฝังหุ่น” ขยี้ปชน.ทุกดอกดึงฐานเสียงคืน!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภูมิธรรม เวชยชัย - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
เมืองไทย 360 องศา

กลายเป็นว่าเวลานี้พรรคเพื่อไทย กำลังดาหน้าเข้าถล่มพรรคประชาชนกันทุกทาง เรียกว่าเก็บทุกรายละเอียด ทุกเม็ด นับตั้งแต่ปฏิเสธ “ดีลลับ” พลิกไปหนุน นายอนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทย จนขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสำเร็จ แม้ว่าจะมี 5 เงื่อนไข ขี่คอเอาไว้ก็ตาม แต่ถึงอย่างไรจากดีลพิสดารดังกล่าว ก็ทำให้พรรคเพื่อไทย และระบอบทักษิณ ต้องพ้นจากอำนาจรัฐ และสิ้นสลายลงไปมาก


เพราะการสูญเสียอำนาจคราวนี้แตกต่างจากครั้งก่อน เนื่องจากเสียหายทั้งเครดิต ความนิยมเท่าที่เคยมีมาในรอบนับสิบๆ ปีทีเดียว ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่เวลานี้อาการของพรรคเพื่อไทยเหมือนกับ “แค้นฝังหุ่น” กันเลยทีเดียว

ที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทย หรือคนในครอบครัวนายทักษิณ ชินวัตร แทบจะไม่ให้ราคากับ พรรคประชาชน ที่สืบทอดต่อมาจากพรรคก้าวไกล มีผู้ก่อตั้งมาจากนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และต่อเนื่องมาถึงนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เพราะทั้งนามสกุล “จึงรุ่งเรืองกิจ” และ “ลิ้มเจริญรัตน์” ถือเป็นลูกน้องเก่า ถูกมองไม่ต่างจาก “เด็กในบ้าน” ไม่เชื่อก็ลองสังเกตพฤติกรรม ทั้งในปัจจุบัน ที่มีคนในครอบครัวจึงรุ่งเรืองกิจ ในพรรคเพื่อไทย และคนที่เคยรับใช้ใกล้ชิด นายทักษิณ ชินวัตร เมื่อหลายปีก่อน เชื่อว่าในวงการเมืองสามารถย้อนกลับไปฟื้นภาพเก่าๆ ดูได้

อย่างไรก็ดี เมื่อเวลาเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน “ใจคนเปลี่ยน” หรือไม่ ไม่อาจทราบได้ แต่ว่าหากสังเกตตอนนี้จะเห็นว่าระดับแกนนำพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่ นายภูมิธรรม เวชยชัย ถึงกับตบะแตก ซัดแหลก โดยเฉพาะมุ่งเป้าไปที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แบบตรงๆ เลยทีเดียว

ก่อนหน้านี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรองนายกฯ และอดีต รมว.มหาดไทย กล่าวถึงกรณี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวถึงคดีฮั้วสว. และเขากระโดง ว่า ถ้ามีความผิดจริง ทำไมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ถึงไม่สั่งให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ฟ้องร้องเอาผิด ว่า 2 ปีที่ผ่านมา คนที่เป็น รมว.มหาดไทย คือนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯนั่นแหละที่ไม่ดำเนินการ เพราะต้องเริ่มต้นจากกรมที่ดิน เมื่อตนเองเข้าไป ถึงได้เริ่มดำเนินการ จะพูดว่า 2 ปีไม่ทำ นั้นไม่ใช่ ต้องพูดว่านายอนุทิน ไม่ได้ทำ สิ่งที่นายธนาธร พูดนั้น ตนเองก็อึ้ง และเชื่อว่าประชาชนก็อึ้งกันไปเป็นแถบ เพราะไม่ควรจะออกมาจากปากของนายธนาธร ซึ่งเป็นผู้นำจิตวิญญาณของพรรคประชาชน ตนเองคงไม่ต้องอธิบาย ไปถามประชาชน ว่า เวลานี้ประชาชนรู้สึกกันอย่างไร ตนว่านายธนาธร คงต้องไปทบทวนคำพูดเหมือนกันว่า ที่พูดนั้นเชื่อแบบนั้นจริงๆ หรือ พูดเพื่ออะไร ตนไม่ขอวิจารณ์

เมื่อถามว่า การที่นายธนาธร ออกมาพูดแบบนี้ หลายคนมองว่า เป็นการปกป้องรัฐบาลมากกว่า และอาจไม่ใช่ฝ่ายค้านที่แท้จริง นายภูมิธรรม ตอบว่าสื่อถามเองตอบเองไปแล้ว ตนเองไม่ขอวิจารณ์คิดว่า วันนี้ทุกคนอยู่ในสายตาพี่น้องประชาชน ใครทำอะไรไว้คนก็จดจำ

“ผมเสียดายพรรคประชาชน เพราะเขาอยากเป็นรัฐบาล อยากแสดงฝีมือ เพราะถูกกล่าวหามาตลอด ครั้งนี้เป็นครั้งที่เขามีโอกาสเป็นรัฐบาล อยากจะเป็นกระทรวงแรงงานก็ได้ กระทรวงมหาดไทยก็ได้ หรือกระทรวงการคลังก็ได้ เห็นมีการพูดและอภิปรายไว้เยอะ แต่ทำไมมีโอกาสแล้ว ถึงไม่ทำ นี่เป็นปัญหาที่ผมเสียดายมาก ผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร และไม่รู้ว่าโอกาสข้างหน้าจะได้เป็นรัฐบาลหรือไม่ แต่ถ้ามีโอกาสแล้วทำไมไม่ทำ ทั้งที่เป็นเสียงข้างมากของรัฐบาลชุดนี้”

นายภูมิธรรม ยังกล่าวว่า ถ้าจะเป็น อย่างน้อยนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน จะได้แสดงฝีมือ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล จะได้แสดงฝีมือเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ก็จะสามารถเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ แต่ว่าไม่เลือก ปล่อยให้หลุดมือไปอยู่กับพรรคภูมิใจไทย อันนี้ต้องเป็นคำตอบให้คนเข้าใจว่า ในเมื่ออยากพิสูจน์ตัวเองว่าไม่เคยทำ และนำเสนอความเห็นว่าอยากลองทำ เมื่อมีโอกาสทำและสามารถทำได้ แต่เมื่อมีโอกาสแล้ว ไม่ทำ แล้วจะไปความหวังลมๆ แล้งๆ ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ต้องช่วยกันคิด

อย่างไรก็ดี หากย้อนกลับไปช่วงที่มีการช่วงชิงกันตั้งรัฐบาล ระหว่าง พรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย ในตอนแรกๆ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกมองว่าเป็นเจ้าของพรรค ได้หารือลับกับนายธนาธร ซึ่งก็ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของตัวจริงของพรรคประชาชนเช่นกัน และในเวลาต่อมา นายธนาธร ก็ยอมรับในเรื่องนี้ เพียงแต่ว่าในที่สุด พรรคประชาชน ก็โหวตหนุน นายอนุทิน เป็นนายกรัฐมนตรี นั่นก็หมายความว่า “ดีลไม่สำเร็จ” นั่นเอง และนี่อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เวลานี้ พรรคเพื่อไทย ต้องตามขยี้พรรคประชาชนทุกเม็ด มิหนำซ้ำพรรคเพื่อไทย ยังไม่ยอมร่วมเป็น “วิปฝ่ายค้าน” อีกด้วย ถือเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นบทบาทพรรคฝ่ายค้านแบบนี้

นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวถึงบทบาทการทำงานฝ่ายค้านร่วมกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งล่าสุดออกมาเรียกร้องให้ผู้นำฝ่ายค้านฯ ลาออก ว่า ในที่ประชุมจะมีการพูดคุยและได้มีการหารือกับวิปบางคนแล้วว่าจะขอมติสัดส่วนวิปฝ่ายค้านอย่างไร โดยได้เว้นสัดส่วนไว้ให้พรรคเพื่อไทยไว้แล้ว ซึ่งมติวิปวันนี้จะมีสัดส่วนของวิบฝ่ายค้านด้วย

ส่วนพรรคเพื่อไทยจะแสดงเจตจำนงไม่เข้าร่วมก็เป็นสิทธิ์ของพรรคเพื่อไทย อย่างไรก็ตาม ตนก็ได้ประสานกับพรรคร่วมฝ่ายค้านอื่นไปบ้างแล้ว ซึ่งเชื่อว่าจะเข้าร่วมตนก็เคารพเจตนารมณ์และอยากให้มาทำงานร่วมกัน ส่วนเรื่องการที่ให้ผู้นำฝ่ายค้านลาออกก็ไม่ทราบว่าเหตุผลคืออะไรแต่เรายังยืนยันชัดเจนว่า เราทำงานฝ่ายค้านเต็มที่

“อยากจะบอกว่า ต่อให้ผู้นำฝ่ายค้านลาออกพรรคเพื่อไทยก็เป็นผู้นำฝ่ายค้านไม่ได้ เพราะมีประธานสภาฯและรองประธานสภาฯ แล้ว ซึ่งตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ก็ไม่สามารถเป็นผู้นำฝ่ายค้านได้ นอกจากรองประธานสภาทั้งสองคน จะลาออก” นายปกรณ์วุฒิ กล่าว

แน่นอนว่า การเบนเข็มมาพุ่งเป้าโจมตีพรรคประชาชนอย่างเอาเป็นเอาตายของพรรคเพื่อไทยคราวนี้ เพื่อหวังผลทางการเมือง เป้าหมายในการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น ซึ่งเป็นที่รับรู้กันอยู่แล้ว พรรคเพื่อไทย และระบอบทักษิณ กำลังอยู่ในยุคที่ “กระแสตกฮวบ” ยิ่งในระยะอันใกล้นี้ เชื่อว่ายังไม่มีจุดขายสำหรับการหาเสียง ดังนั้น เมื่อพวกเขา “ไม่มีกระแส” มันก็ย่อมเติบโตได้ยาก และที่ผ่านมาหลังจากพฤติกรรม “ข้ามขั้ว” ตั้งรัฐบาล และผลงานกว่าสองปีที่ล้มเหลว ทำให้บรรดาแฟนคลับไม่น้อยผิดหวัง ส่วนใหญ่เทไปทางพรรคประชาชน แต่เมื่อพรรคประชาชนไปหนุนภูมิใจไทย ย่อมทำให้เพื่อไทยได้โอกาสถล่ม ยกเอาเรื่อง “ข้ามขั้ว” มาถล่ม พร้อมกับการเร่งโหมโจมตีทุกทาง หวังจะเรียกกระแสกลับคืนมาได้บ้าง

ขณะเดียวกัน ก็ต้องไม่ลืมว่า ในทางการเมือง ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับภูมิใจไทย จะว่าไปแล้วเอาเข้าจริงฐานเสียงไม่ได้ทับซ้อนกันนัก เพราะเป็นฐานของบ้านใหญ่ เมื่อบ้านใหญ่ย้ายไปทางไหน ก็ต้องเพิ่มจำนวน ส.ส.ให้กับพรรคนั้นอยู่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ก็มีหลายจังหวัดในภาคอีสาน และภาคกลาง แต่ที่เพื่อไทยกำลังวิตกก็คือ “กระแส” ที่คู่แข่งสำคัญคือ พรรคประชาชน ดังนั้น ก็ถึงบางอ้อว่า ต้องถล่มไม่ให้หยุดพัก และเชื่อว่าจะต้องหนักขึ้นทุกวัน !!


กำลังโหลดความคิดเห็น