เปิดตัวเลขรับ 'วันสายตาโลก' 9 ต.ค. ผู้สูงอายุไทยกว่า 25,000 รายเสี่ยงโรคจุดรับภาพชัดเสื่อม ขณะที่ผู้ป่วยเบาหวานกว่า 7 แสนคนอาจมีภาวะจอตาบวมโดยไม่รู้ตัว จักษุแพทย์ชี้สัญญาณเตือน 4 อาการอันตราย แนะเข้ารับการตรวจตาประจำปี รักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ช่วยหยุดยั้งการสูญเสียการมองเห็นถาวร
วันนี้(8 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
เนื่องใน “วันสายตาโลก” (World Sight Day) ซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดีที่ 2 ของเดือนตุลาคมของทุกปี บริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด "ได้เสวนา" รอบรู้เรื่องโรคจอตา: รักษาการมองเห็นเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น" โดยนพ.ธนาพงษ์ สมกิจรุ่งโรจน์ จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจอตาและวุ้นตา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวเตือนประชาชนให้ตระหนักถึงความเสี่ยงโรคจุดรับภาพชัดจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ (nAMD: Neovascular Age-related Macular Degeneration) และโรคจุดรับภาพชัดจอตาบวมจาก เบาหวาน (DME: Diabetic Macular Edema) ซึ่งเป็นภัยเงียบที่คุกคาม การมองเห็น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีอายุ 50 ปีขึ้นไป และผู้ป่วยโรคเบาหวาน ซึ่งปัจจุบันจำนวนผู้ป่วยโรคจอตาในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามจำนวนผู้สูงอายุและผู้ป่วยเบาหวานที่มากขึ้น คาดว่ามีผู้ป่วยโรคจุดรับ ภาพชัดจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ ประมาณ 25,500 คน จากประชากรอายุ 50 ปีขึ้นไปกว่า 13.8 ล้านคน โดยการประมาณการนี้เป็นการประมาณการจากการศึกษาในประชากรกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งดำเนินการใน 42 อำเภอ รวม 21 จังหวัด เพื่อให้เป็นตัวแทนของประชากรในแต่ละภูมิภาคอย่างแท้จริง ทั้งนี้ผู้เข้าร่วมการศึกษาที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป จะผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน ตั้งแต่การสัมภาษณ์ประวัติสุขภาพและครอบครัว การวัดระดับการมองเห็น การตรวจคัดกรองโรคตาเบื้องต้น และที่สำคัญคือ การถ่ายภาพจอตาด้วยกล้องดิจิทัล ผลการศึกษาจากผู้เข้าร่วมก ว่า 10,788 คน พบว่า ความชุกโดยรวมของโรคจุดภาพชัดเสื่อมในผู้สูงอายุ อยู่ที่ 3.0% โดยแบ่งเป็น ระยะแรกเริ่ม (Early AMD) 2.7% และระยะรุนแรง (Late AMD) 0.3% และเมื่อพิจารณาเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยระยะรุนแรง พบว่าเป็น โรคจุดรับภาพชัดจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ ชนิดเปียก (wet AMD หรือ ทAMD) ถึง 74.1% (1)
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขประมาณการนี้ยังอาจเป็นไปได้ว่าต่ำกว่าความเป็นจริง เนื่องจากมีผู้ป่วยบางส่วนที่อาจเป็นโรคแต่ไม่ถูกนับรวมเข้ามาในผลการศึกษา เนื่องจากข้อจำกัดของวิธีการตรวจโดยดูจากการถ่ายภาพจอตา ที่ไม่สามารถทำได้ในผู้ที่มีภาวะต้อกระจกขุ่นมากๆ ดังนั้นจึงควรให้ความสำคัญกับจำนวนที่อาจมากกว่าที่คาดการณ์ไว้
ขณะที่ข้อมูลรายงานผู้ป่วยโรคจุดรับภาพชัดจอตาบวมจากเบาหวาน (DME; Diabetic Macular Edema) มีอยู่อย่างจำกัดเช่นเดียวกัน โดยสามารถประมาณการคร่าวๆ ได้จากการศึกษาในโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งเป็นโรงเรียนแพทย์ขนาดใหญ่ และเก็บจำนวนการศึกษาผู้ป่วยมา กกว่า 1,130 คน พบว่า 34.78% มีภาวะเบาหวานขึ้นจอตา (DR: Diabetic Retinopathy) และอีกรายงานการศึกษาพบว่า 33.68% ของ ผู้ป่วย DR มีภาวะ DME ดังนั้นเมื่อนำข้อมูลทั้งหมดมาประกอบกันกับคาดการณ์จำนวนผู้ป่วยเบาหวานในประเทศไทยประมาณ 6.4 ล้านคน จากรายงานของ International Diabetes Federation (IDF) ปี 2025 จะพออนุมานจำนวนโรคจุดรับภาพชัดจอตาบวมจากเบาหวาน ได้ประมาณ 750,000 คน (2,3)
นพ.ธนาพงษ์ อธิบายว่า "จอตาเปรียบเสมือนฟิล์มถ่ายรูปของดวง ตา ทำหน้าที่รับภาพและส่งสัญญาณไปยังสมอง โดยเฉพาะส่วนที่เรีย กว่า 'จุดรับภาพชัด' (Macula) ซึ่งเป็นศูนย์กลางของจอตา มีหน้าที่สำคั ญในการมองเห็นรายละเอียด เช่น การอ่านหนังสือหรือจดจำใบหน้า โรค nAMD และ DME จะเข้าไปทำลายจุดรับภาพชัดโดยตรง ส่งผลให้การมองเห็นส่วนกลางเสียหายถาวรได้ กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก
"หากจะกล่าวถึงโรคจุดรับภาพชัดจอตาบวมจากเบาหวาน อาจจะต้องเริ่มต้นจากโรคเบาหวานขึ้นจอตา ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจากโรคเบาหวานโดยตรง ซึ่งส่งผลต่อดวงตา เกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเป็นเวลานานจนทำลายเส้นเลือดที่จอประสาทตาซึ่งเป็นส่วนที่ทำหน้าที่รับภาพ เมื่อหลอดเลือดเหล่านี้เสียหาย อาจเกิดการรั่วซึมของสารน้ำและ เลือดออกมาที่จอประสาทตา หรือมีการอุดตันของหลอดเลือดจนทำให้ เกิดการขาดเลือดและมีหลอดเลือดผิดปกติงอกขึ้นมาใหม่ ซึ่งส่งผลต่อการมองเห็นได้ และหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่ การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้ ซึ่งโรคจุดรับภาพชัดจอตาบวมจากเบาหวาน เป็นหนึ่งในภาวะแทรกซ้อนทางตาและส่งผลกระทบต่อกา รมองเห็นซึ่งเป็นผลที่ตามมาจากภาวะเบาหวานขึ้นตาโดยตรงที่พบได้บ่อย กล่าวคือ เมื่อการรั่วซึมของสารน้ำและไขมันจากหลอดเลือดที่เสียหายนั้น เกิดขึ้นตรงบริเวณ "จุดรับภาพชัด" หรือ "มาคลา" (Macula) ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของจอตาในการมองเห็นรายละเอียดและความคมชัด การสะสมของของเหลวจึงทำให้จุดรับภาพชัดเกิดอาการบวม ขึ้นมา โรคจุดรับภาพบวมจากเบาหวานนี้จึงไม่ได้เป็นโรคที่แยกขาดจากเบาหวานขึ้นตา แต่เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อเบาหวานขึ้นตาส่งผลกระทบต่อจุดรับภาพชัดโดยตรง และสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกระย ะของภาวะเบาหวานขึ้นตา"
ทั้งนี้โรคจุดรับภาพชัดจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ เป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป แม้ว่าผู้ป่วยโรคจุดรับภาพชัดจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุระยะรุนแรงจะมีสัดส่วนที่น้อยกว่าระยะแรกเริ่ม แต่โรค nAMD กลับเป็นชนิดที่อันตรายและน่ากังวลที่สุด เนื่องจากเป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียการมองเห็นอย่างรุนแรงและรวด
เร็วเป็นระดับวินาทีได้ โรค nAMD เกิดจากการที่มีหลอดเลือดผิดปกติงอกขึ้นใต้จอตา ซึ่งหลอดเลือดเหล่านี้มีความเปราะบางและรั่วซึมได้ง่าย ทำให้มีของเหลวหรือเลือดไปทำลายเซลล์รับภาพในบริเวณจุดรับภาพ ชัด (Macula) ส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดอาการมองเห็นภาพบิดเบี้ยว มีจุดดำบั งตรงกลางภาพ และสูญเสียการมองเห็นส่วนกลางในที่สุด หากไม่ได้รั บการรักษาอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้ ดังนั้นการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความรุนแรงของโรค nAMD และการเข้าถึงนวัตกรรมการรักษาที่มีประสิทธิภาพ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการป้องกันภาวะตาบอดและรักษาคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยไว้
นพ.ธนาพงษ์ แนะนำให้สังเกต 4 อาการสัญญาณเตือนโรคทางจอตา ประกอบด้วย 1. การมองเห็นภาพบิดเบี้ยว เช่น เห็นเส้นตรงเป็นคลื่น หรือกรอบประตูหน้าต่างโค้งงอ 2. มีจุดดำหรือเงาดำบังกลางภาพ ทำให้การมองเห็นส่วนกลางหายไป 3. ความสามารถในการมองเห็นลดลง ต้องใช้แสงสว่างมากขึ้นในการอ่านหนังสือ หรือแยกแยะความแตก ต่างของสีได้ยากขึ้น 4. การมองเห็นแย่ลงอย่างรวดเร็ว
"ผู้ป่วยบางรายอาจไม่มีอาการในระยะแรก หรือเข้าใจผิดว่าเป็นก ารเปลี่ยนแปลงของสายตา ตามวัย หากปล่อยไว้โดยไม่ตรวจรักษา อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นถาวร"
สำหรับการวินิจฉัยโรคจอตาในปัจจุบันเริ่มต้นจากการใช้เครื่องมือที่ช่วย ให้ผู้ป่วยมองเห็นภาพความผิดปกติในดวงตาของตนเองได้อย่างชัดเจน เช่น ภาพถ่ายจอตา (Fundus Photography) และภาพถ่ายจอตาแบบมุมกว้างพิเศษ (Ultra-widefield Imaging) ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงภาวะ ต่างๆ เช่น เส้นเลือดผิดปกติ หรือจุดเลือดออกในจอตา ทำให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงปัญหาและตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาได้ทันที ร่วมกับการใช้เครื่องมือถ่ายภาพตัดขวางจอตา (OCT: optical coherence tomography) เครื่องตรวจภาพตัดขวางหลอดเลือดของจอประสาทตา (OCTA: optical coherence tomography angiography) และการถ่ายภาพจอประสาทตา ด้วยเทคโนโลยี AI (Deep-Learning Al Retinal Image) ที่จักษุแพทย์สามารถใช้เพื่อการวินิจฉัยเชิงลึก โดยการตรวจ พบโรคตั้งแต่เนิ่นๆ และเริ่มต้นการรักษาโดยเร็ว (Early Treatment) คือหัวใจสำคัญที่สุดที่จะช่วยชะลอหรือหยุดยั้งความเสียหายต่อดวงตา และป้องกันการสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร
ส่วนแนวทางการรักษาที่ได้มาตรฐานคือ การฉีดยาเข้าวุ้นตา (Intravitreal Injection) ในกลุ่มยา Anti-VEGF เพื่อยับยั้งการรั่วซึมของหลอดเลือดและลดอาการบวมบริเวณจุดรับภาพชัด ซึ่งจะช่วยรักษาระดับการมองเห็นไว้ได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรคจุดรับภาพชัดจอตาบวมจากเบาหวาน การรักษาจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อทำควบคู่ไปกับการควบคุมโรคประจำตัวอย่างเข้มงวด ผู้ป่วยจำเป็นต้องพบแพทย์เฉพาะทางโรคเบาหวานอย่าง สม่ำเสมอ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต และไขมันให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม รวมถึงการปรับเปลี่ยนอาหารการกินด้วย ดังนั้นความร่วมมือของผู้ป่วยในการมาฉีดยาตามนัดและมีวินัยในการดูแลสุขภาพของตนเอง ถือเป็นปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จในการ รักษาเพื่อให้สามารถควบคุมโรคได้ในระยะยาวและคงการมองเห็นที่ดี ไว้ให้ได้นานที่สุด
"หัวใจสำคัญของการรักษา คือการควบคุมโรคให้ได้ในระยะยาว แต่ความท้าทายหลักคือภาระที่ผู้ ป่วยต้องเดินทางมาโรงพยาบาลบ่อยครั้งเพื่อรับการฉีดยา ซึ่งในอดีตอาจต้องมาทุก 1-2 เดือน สร้างความลำบากทั้งด้านเวลา ค่าใช้จ่าย และ ความกังวล
ปัจจุบันมีนวัตกรรมยาฉีดรุ่นใหม่ในกลุ่ม Anti-VEGF ที่สามารถออกฤทธิ์ในดวงตาได้นานขึ้น ถือเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญ เพราะช่วยให้จักษุแพทย์สามารถยึดระยะห่างของการฉีดยาออกไปได้ โดยยังคงประสิทธิภาพในการควบคุมโรคไว้ได้เทียบเท่ากับการฉีดบ่อยครั้ง ซึ่งช่วยลดภาระการเดินทางมาโรงพยาบาล โดยเฉพาะผู้ป่วยจากต่างจังหวัด และเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยมีเวลาสำหรับครอบครัวและการใช้ชีวิตตามปกติได้มากขึ้น ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดพบว่า ยาชนิดใหม่ช่วยให้ผู้ป่วยโรคจุด รับภาพชัดจอตาบวมจากเบาหวาน (DME) ถึง 47% และผู้ป่วยโรคจุดรั บภาพชัดจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ ชนิดเปียก (ทAMD) ถึง 53% สามารถ ยืดระยะห่างการรักษาออกไปได้นานถึง 20 สัปดาห์หรือมากกว่า"
นพ.ธนาพงษ์ ย้ำว่า การป้องกันการสูญเสียการมองเห็นที่ดีที่สุด คือการตรวจพบโรคตั้งแต่เนิ่นๆ ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปควรเข้ารับการตร วจสุขภาพตาเป็นประจำทุกปี แม้ไม่มีอาการผิดปกติ ส่วนผู้ป่วยเบาหวา นถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงสุดที่อาจเกิดภาวะเบาหวานขึ้นจอตาและ ภาวะจุดรับภาพชัดจอตาบวมจากเบาหวานจึงควรได้รับการตรวจจอตาอย่าง ละเอียดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ควบคู่ไปกับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี
ด้านภญ.ชัชชญา ฉัตรรัตนารักษ์ Head of Focus Brand แผนกฟาร์ มาซูติคอล บริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด กล่าวว่า ไบเออร์ในฐานะบริษัท ชั้นนำระดับโลกด้านนวัตกรรมยาและเวชภัณฑ์ มีความมุ่งมั่นในการแก้ ไขปัญหาสุขภาพที่สำคัญ เราจึงสนับสนุนการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคทางจอตา และขอมีส่วนร่วมในการรณรงค์เนื่องในวันสายตา
โลก เพื่อให้ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง ตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจคัดกรองสุขภาพตา และสามารถเข้าถึงนวัตกรรมการรักษา ที่ทันสมัย ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถรักษาวิสัยทัศน์ในการมองเห็น และดำเนินชีวิตได้อย่างมีคุณภาพและมีความสุขต่อไป