xs
xsm
sm
md
lg

คดีเขากระโดง "ผู้ยิ่งใหญ่" แห่งบุรีรัมย์ อาจยื้อเวลาได้ด้วยอำนาจและการเมือง แต่ไม่อาจยื้อ“ความจริง” ที่ศาลได้ตัดสินไว้อย่างชัดเจนแล้ว ** ศึก “แดง-น้ำเงิน” ใครจะเข้าวิน...“อิ๊งค์” บ่นเสียดาย ไม่ได้เป็นแคนดิเดตนายกฯ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เนวิน ชิดชอบ - แพทองธาร ชินวัตร - อนุทิน ชาญวีรกูล
ข่าวปนคน คนปนข่าว

++ คดีเขากระโดง "ผู้ยิ่งใหญ่" แห่งบุรีรัมย์ อาจยื้อเวลาได้ด้วยอำนาจและการเมือง แต่ไม่อาจยื้อ“ความจริง” ที่ศาลได้ตัดสินไว้อย่างชัดเจนแล้ว

ปมเขากระโดงร้อนฉ่าขึ้นมา เมื่อมีกระแสข่าวว่า "วีริศ อัมระปาล" ผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้ยื่นเรื่องขอลาออกจากตำแหน่ง

วงในบอกว่า ก่อนลาออก "วีริศ" ในฐานะ รฟท. ได้เซ็นสั่งฟ้องที่ดินรถไฟ 2 แปลง ของ "กรุณา ชิดชอบ" ภรรยา "เนวิน ชิดชอบ" และบริษัทศิลาชัย ...แล้วกำลังจะสั่งฟ้องแปลงสำคัญแปลงอื่นเพิ่ม เพื่อทวงคืน "ที่ดิน รฟท."

วีริศ อัมระปาล
หากเป็นไปตามข่าว ก็ต้องชื่นชม “ผู้ว่าฯรฟท.”ในความกล้าหาญ ทำในเรื่องที่ถูกต้อง เพราะรู้กันอยู่ว่า พรรคภูมิใจไทยเข้ามาเป็นรัฐบาล ก็เพื่อปกป้องที่ดินเขากระโดง และคดีฮั้วสว. !

งานนี้ต้องติดตามอย่ากระพริบตา เพราะปมที่ดินเขากระโดงของรถไฟฯ ถูกฮุบเอาไปทำประโยชน์ของขาใหญ่บุรีรัมย์มานานแล้ว โดยที่ผ่านมา มีความพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ครอบครองทำประโยชน์กับที่ดินหลวงต่อไป

ทว่า..งานนี้บอกเลยไม่ง่าย!

เพราะเรื่องนี้ ศาลบุรีรัมย์ ตัดสินเด็ดขาด เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ที่ผ่านมานี้เองว่า ที่ดินรถไฟ คือสมบัติของรัฐ

เนวิน ชิดชอบ
โดย...คดีตัวอย่างนี้ ศาลจังหวัดบุรีรัมย์ มีคำพิพากษาในคดีแพ่งระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (โจทก์) กับ นางประภาวัลย์ เรืองวงษ์งาม (จำเลย) เกี่ยวกับการครอบครองที่ดินในเขตทางรถไฟสาย บุรีรัมย์–สตึก ซึ่งรัฐได้เวนคืนไว้ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2464
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานทุกชิ้น ทั้งแผนที่แนวเขตทางรถไฟ เอกสารราชการ และคำให้การของเจ้าหน้าที่ พบว่า ...ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตเวนคืนของการรถไฟฯ อย่างชัดเจน

แม้จำเลยจะอ้างเอกสารสิทธิ์ น.ส.3 ที่ได้มาโดยสุจริต แต่เอกสารดังกล่าว ออกภายหลังการเวนคืน กว่า 70 ปี จึงถือว่า “ออกทับที่ดินของรัฐ” และไม่มีผลทางกฎหมาย!

ศาลมีคำพิพากษา ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกจากพื้นที่พิพาท ส่งคืนที่ดินให้การรถไฟฯ ภายในกำหนดเวลา ชำระค่าเสียหายจากการใช้ประโยชน์รายเดือน 2,900 บาท จนกว่าจะคืนพื้นที่ครบถ้วน พร้อมชำระค่าธรรมเนียมศาล และค่าทนายฝ่ายโจทก์

คำพิพากษาฉบับนี้ ถือเป็น บรรทัดฐานสำคัญของคดีที่ดินในเขตทางรถไฟ ยืนยันหลักการชัดเจนว่า...ทรัพย์สินของรัฐเพื่อสาธารณะ ไม่มีวันตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชน!

เรื่องนี้สะท้อนไปถึงภาพใหญ่ปมเขากระโดง

กรุณา ชิดชอบ
จากคดีเล็กในศาลจังหวัดบุรีรัมย์นี้ เชื่อมโยงโดยตรงกับ “คดีเขากระโดง” ในความครอบครองของผู้ยิ่งใหญ่แห่งบุรีรัมย์
กรณีพิพาทใหญ่ระดับประเทศ เกี่ยวกับการครอบครองที่ดินของการรถไฟฯ บริเวณ เขากระโดง ซึ่งมีมูลค่ามหาศาลและมีการยื้อยุดกันระหว่างรัฐ กับกลุ่มทุนการเมืองท้องถิ่น มานานหลายทศวรรษ

ยิ่งมาดูคำพิพากษาศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขแดง ที่ 582/2566 เมื่อวันที่ 30 มี.ค.66 ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาในคดีระหว่าง การรถไฟแห่งประเทศไทย (ผู้ฟ้องคดี) กับ กรมที่ดิน และอธิบดีกรมที่ดิน (ผู้ถูกฟ้องคดี) โดยพิพากษาว่า
“การรถไฟแห่งประเทศไทยไม่จำเป็นต้องไปฟ้องเพิกถอนรายแปลง แต่อธิบดีกรมที่ดิน มีอำนาจเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ออกโดยมิชอบได้เอง ตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน”

ศาลยังสั่งให้อธิบดีกรมที่ดิน แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตาม มาตรา 61 วรรคสอง และดำเนินการร่วมกับการรถไฟฯ เพื่อสำรวจแนวเขตที่ดินบริเวณเขากระโดง ให้เสร็จสิ้นภายใน 15 วัน นับจากวันที่คำพิพากษาถึงที่สุด

ต่อมา เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567 ได้มีการสำรวจเส้นเขตที่ดินเสร็จสมบูรณ์ตามคำพิพากษา แต่ในทางปฏิบัติ กลับเกิด “แรงต้าน” เมื่ออธิบดีกรมที่ดินมีหนังสือฉบับที่ มท 0516.2(2)/22162 ลงวันที่ 21 ต.ค.67 แจ้ง “ไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิ์” และ ยุติการสอบสวน โดยอ้างว่าการรถไฟฯ ไม่สามารถแสดงหลักฐานยืนยันแนวเขตที่ชัดเจนได้

นี่คือ ข้อเท็จจริงที่ศาลยุติธรรม ได้วินิจฉัยไว้แล้ว คำอ้างของกรมที่ดินดังกล่าว ขัดต่อคำพิพากษาศาลทุกระดับชั้น ทั้งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 และศาลฎีกา ซึ่งต่างวินิจฉัยตรงกันว่า การไม่มีแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกา ไม่ถือเป็นสาระสำคัญ ที่ทำให้สิทธิ์ของการรถไฟฯสิ้นสุด เพราะมีพยานหลักฐานทางราชการที่สอดคล้องกันครบถ้วน ตั้งแต่เอกสารเวนคืน , แผนที่ราชการ, บัญชีจ่ายค่าทำขวัญ 18 ราย , ภาพถ่ายทางอากาศ , และแผนที่ทหารซึ่งเชื่อมโยงกันอย่างมีเหตุผลและผ่านการรับรองมากว่า 90 ปี

และการดำเนินการ ภายหลัง “ภูมิธรรม เวชชัย” รมว.มหาดไทย มีคำสั่งให้เร่งดำเนินการตามคำพิพากษา จนวันที่ 27 ส.ค.68 ผู้ว่าการรถไฟฯ และกรมที่ดิน ได้ร่วมกันลงนามใน แผนที่ ร.ว.9 ซึ่งถือเป็นการ “รับรองแนวเขตการรถไฟฯอย่างเป็นทางการ” และวันที่ 5 ก.ย.68 การรถไฟฯ ได้ออกหนังสือรับรองผลสำรวจ เพื่อบังคับตามคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ให้ครบถ้วนตามกฎหมาย

เมื่อพิจารณาคดีทั้งหมด ทั้งคดีแพ่งในศาลจังหวัดบุรีรัมย์ และคดีเขากระโดง ในศาลปกครอง

สะท้อนภาพเดียวกันคือ ... “ที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย คือทรัพย์สินของรัฐเพื่อประโยชน์สาธารณะ”

ไม่ว่าผู้ใดจะถือเอกสารสิทธิ์ภายหลัง หรืออ้างอำนาจทางการเมืองเพียงใด ก็ไม่อาจเปลี่ยนข้อเท็จจริงทางกฎหมายได้

คดีเขากระโดง ผู้ยิ่งใหญ่แห่งบุรีรัมย์อาจยื้อเวลาได้ด้วยอำนาจ และการเมือง แต่ไม่อาจยื้อ “ความจริง” ที่ศาลได้ตัดสินไว้อย่างชัดเจนแล้ว.

แพทองธาร ชินวัตร
++ ศึก “แดง-น้ำเงิน” ใครจะเข้าวิน...“อิ๊งค์” บ่นเสียดาย ไม่ได้เป็นแคนดิเดตนายกฯ

เห็นๆกันอยู่ว่า “ภูมิใจไทย” กำลังติดเครื่องดูด และพวกนักเลือกตั้ง พวก “บ้านใหญ่” ก็กำลังไหลเข้าซบ เพราะเชื่อมั่นว่า 4 เดือน ที่ “ส้มหล่น”ใส่พรรคภูมิใจไทย ได้เป็นรัฐบาล จะนำไปสู่การเป็นรัฐบาลอีก 4 ปี ในอนาคต

อย่าว่าแต่กลุ่มการเมืองจาก พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่หันหลังให้ “ลุง” แม่แต่คนของพรรคเพื่อไทย ก็ยังไหลไปตามกระแส

ช่วงที่ผ่านมา บนหน้าสื่อจึงมีแต่ความคึกคักของ “ค่ายสีน้ำเงิน” ทำเอาเครือข่าย กองเชียร์ “ค่ายสีแดง” ใจฝ่อ ห่อเหี่ยว

“เพื่อไทย” จะอยู่เฉยไม่ได้แล้ว จึงได้จัดงานเปิดตัว 185 ผู้สมัครสส.ของพรรค ไปเมื่อวานนี้ (7ต.ค.) โดยไฮไลต์ของงานอยู่ที่ ปาฐกถาของ “อุ๊งอิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในหัวข้อ “ยกเครื่องเพื่อไทย ยกเครื่องประเทศไทย”

“แพทองธาร” ที่ตอนนี้แทบจะ“หมดสภาพ” ในทางการเมือง ต้องฝืนใจออกมาโชว์วิชัน ปลุกความฮึกเหิมของลูกพรรค โดยบอกว่า ไม่เชื่อว่าพรรคเพื่อไทย เมื่อมาถึงยุคของตนเองแล้ว จะถึงทางตัน กำลังจะตาย หรือใกล้จะสูญพันธุ์ เพราะหนักหนาสาหัสกว่านี้ ก็เคยเจอมาแล้ว

ถูกรัฐประหาร 2 ครั้ง ยุบพรรคไป 2 พรรค ตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคเกือบ 200 คน ปลดนายกรัฐมนตรี ถึง 6 คน เรายังผ่านมาได้

วันนี้ตนเองพร้อมสู้ พรรคเพื่อไทยพร้อมสู้ และหวังว่าสส. และสมาชิกพรรค ก็พร้อมสู้ไปด้วยกัน

แนวทางการ “ยกเครื่องเพื่อไทย” เราจะมีคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ และ คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านการเมือง เป็นแกนหลัก

ในทางปฏิบัติ จะมี 4 เสาหลัก ประกอบด้วย สำนักงานกิจการสภาฯ , สำนักนโยบายศึกษาและวิจัยนโยบาย, สำนักเลขาธิการพรรค และ สำนักสื่อสาร

ต่อไปนี้ จะไม่มีเส้นทางลัด เส้นทางอ้อมไปไหน จะมีแต่เส้นทางตรงที่ชัดเจนที่จะตัดสินใจ ให้มีการเปลี่ยนแปลง เพื่อทำให้พรรคเป็นเอกภาพ นำนโยบายไปสู่ประชาชน

ในการเลือกตั้งที่จะมาถึงนั้น ได้ตั้ง “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” เป็นผู้อำนวยการการเลือกตั้งของพรรค

อนุทิน ชาญวีรกูล
ส่วนการ “ยกเครื่องประเทศไทย” นั้น “อุ๊งอิ๊งค์” เห็นว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เรามีข้าราชการที่มีประสิทธิภาพ เพียงแต่บางครั้งมีความซ้ำซ้อนในการทำงาน ขาดการบูรณาการ ดังนั้น ต้องเปลี่ยนค่านิยมของข้าราชการ ที่ว่า “ไม่ทำไม่ผิด” ให้เป็น “ทำเต็มที่เพื่อพี่น้องประชาชน” เสริมกับการใช้แนวทาง “เอกชนทำงาน ราชการอำนวยความสะดวก”

พูดถึงแผนงานการบริหารพรรค บริหารประเทศแล้ว “แพทองธาร” ได้แต่บ่นเสียดาย ที่ตนเองไม่สามารถเป็นแคนดิเดตนายกฯได้ แต่ไม่เป็นไร พรรคจะคัดสรรคนที่จะเป็นแคนดิเดตนายกฯ อย่างดี

ส่วนจะมีคนใน “ตระกูลชินวัตร” หรือไม่ ยังขออุบไว้ก่อน บอกได้แค่ว่า ตอนนี้ยังไม่มี !

สุดท้าย “อุ๊งอิ๊งค์” ได้กล่าวขอบคุณสส. และสมาชิกพรรค เป็นการ “ขอบคุณจากหัวใจ” ที่ยังอยู่ ยังร่วมต่อสู้ไปกับ เพื่อไทย พร้อมอ้อนว่า ที่นี่เป็นมากกว่าพรรคการเมือง เพราะที่นี่คือบ้านของคนเพื่อไทย

จากนั้น เป็นการเปิดตัว ว่าที่ผู้สมัคร สส. ทั้งหน้าเก่า และหน้าใหม่185 คน ก็คือเกือบครึ่งของจำนวนสส.เขต ทั่วประเทศ ที่มี 400 เขต ซึ่ง “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ผู้อำนายการการเลือกตั้งของพรรค ตั้งเป้าไว้ที่ 200 ที่นั่ง

ต้องติดตามดูกันต่อไปว่า “พรรคเพื่อไทย” ที่เคยใช้นโยบาย “ประชานิยม” ประเภท ลด แลก แจกแถม จนได้รับความนิยมจากคนรากหญ้า สร้างพรรคให้เติบโต พรวดพราด ด้วยวิธีการ “ควบรวม” พรรคการเมืองอื่น

วันนี้ “เพื่อไทย” อยู่ในช่วงกระแสตกต่ำสุดๆ หัวหน้าพรรคเพิ่งถูกถอดถอนจากตำแหน่งนายกฯ ด้วยปัญหา “ผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง” ผู้นำจิตวิญญาณ ถูกจองจำ ต้องโทษคดีทุจริต

ขณะที่คู่แข่งอย่าง “พรรคภูมิใจไทย” ภายใต้การนำของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” กำลังถืออำนาจรัฐ ถืองบประมาณปี 69 ที่พร้อมเบิกจ่าย ตอนนี้กำลังจัดนโยบาย “ประชานิยม”กันอย่างรัวๆ แถม “ติดเครื่องดูด” บ้านใหญ่ ให้เห็นกันแบบไม่มีเคอะเขิน
เลือกตั้งครั้งนี้ “แดง-น้ำเงิน” ฝ่ายไหนจะเข้าวิน!!


กำลังโหลดความคิดเห็น