คดีเขากระโดงคือมหากาพย์ข้อพิพาทที่ดินกว่า 5,000 ไร่ในจังหวัดบุรีรัมย์ ที่สะท้อนชัดเจนว่าประเทศไทยกำลังติดกับดักระหว่าง “หลักกฎหมาย” ที่ศาลวางไว้ กับ “การปฏิบัติ” ที่ถูกดัดแปลงเพื่อตอบสนองสมการทางการเมือง
ศาลปกครองกลางย้ำชัดว่า กรมที่ดินมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินให้ครบถ้วน ต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวน ตรวจสอบรายแปลง และนำแนวคำพิพากษาศาลฎีกามาเป็นบรรทัดฐานอ้างอิง แต่กรมที่ดินกลับเลือกทำเฉพาะแปลงที่ศาลชี้ชัดแล้ว เพิกถอนคำขอออกโฉนด 35 ราย แก้ไขเอกสารสิทธิหนึ่งแปลง ขณะที่อีกจำนวนมากถูก “ยุติเรื่อง” ด้วยเหตุผลว่าหลักฐานไม่เพียงพอ
ความจริงคือศาลฎีกาได้ตัดสินอย่างชัดเจนแล้วในคดีหมายเลขแดงที่ 842–876/2560 และ 8027/2561 ว่าที่ดินทางแยกเขากระโดงเป็นที่ดินของรัฐเพื่อกิจการรถไฟ ไม่อาจออกเอกสารสิทธิทับได้ โฉนดที่ออกภายหลังเป็นโมฆะ ต้องเพิกถอนหรือแก้ไขหลักฐานที่ศาลยึดมีทั้งแผนที่เก่า ระวางทางรถไฟ การใช้ประโยชน์จริงของการรถไฟฯ ตั้งแต่ยุคสร้างทาง พยานบุคคล และเอกสารราชการจากกรมที่ดินเอง
คำพิพากษานี้คือชัยชนะชัดเจนของการรถไฟฯ และยังเป็นการวางบรรทัดฐานว่า “ที่สาธารณะไม่อาจกลายเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคลได้” หลักการนี้ควรจะขยายไปยังแปลงอื่นๆ ในเขตกว่า5,000 ไร่ หากมีพยานหลักฐานสอดคล้องกัน แต่ในความจริงกลับไม่เกิดขึ้น เพราะคณะกรรมการสอบสวนเลือกจะยุติเรื่อง
เมื่อกรมที่ดินมีมติไม่เพิกถอน การรถไฟฯ จึงยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง ขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว และให้กรมที่ดินเพิกถอนเอกสารสิทธิจำนวนมากตามมาตรา 61 โดยอ้างอิงทั้งคำพิพากษาศาลฎีกา ความเห็นกฤษฎีกา มติ ป.ป.ช.และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ซึ่งล้วนยืนยันตรงกันว่าที่ดินเขากระโดงเป็นของการรถไฟฯ
สิ่งที่ทำให้คดีนี้ยิ่งซับซ้อนคือบทบาทของชนินทร์ แก่นหิรัญอดีตประธานอนุกรรมการฝ่ายกฎหมายของการรถไฟฯ ซึ่งในยุคที่พรรคภูมิใจไทยคุมกระทรวงคมนาคม เขาเคยมีหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของการรถไฟฯ แต่วันนี้กลับพลิกบทบาทมาเป็นทนายให้ตระกูลชิดชอบ คู่กรณีที่พิพาทกับการรถไฟฯ เอง
นี่ทำให้เกิดคำถามทางสังคมว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อมารยาททนายความหรือไม่ เพราะจากที่เคยอยู่ในตำแหน่งกำหนดท่าทีทางกฎหมายของการรถไฟฯ กลับมารับว่าความให้อีกฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับองค์กรเดิมของตนเอง
กรณีนี้ชนินทร์อ้างว่า ในขณะที่เขาดำรงตำแหน่งประธานอนุกรรมการกฎหมายของการรถไฟฯ เขาไม่เคยมีหน้าที่ ไม่เคยพิจารณา และไม่เคยเกี่ยวข้องกับคดีเขากระโดงเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งเขาก็พ้นจากตำแหน่งมานานกว่าสองปีแล้ว ดังนั้นการที่เขามาปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทนายความวันนี้ ไม่ได้ขัดกับกฎหมายหรือข้อบังคับใดๆ และไม่ใช่การผิดมารยาทวิชาชีพตามที่มีบางคนพยายามโยง เพราะหน้าที่ของทนายความคือการปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของประชาชนตามกฎหมาย ไม่ใช่การถูกตราหน้าว่าหมดสิทธิ์ว่าความไปตลอดชีวิต เพียงเพราะเคยเข้าไปนั่งเก้าอี้อนุกรรมการในองค์กรรัฐวิสาหกิจมาก่อน
“ผมเข้าใจดีว่าการหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาพูด ไม่ได้เกิดจากความห่วงใยในเรื่องมารยาททนายความหรอกครับ แต่เพราะมีบางฝ่ายกลัวว่าหากคดีนี้เข้าสู่ศาล ความจริงจะถูกเปิดเผยอย่างชัดเจน จึงพยายามเบี่ยงประเด็นเพื่อสร้างภาพลักษณ์เชิงลบกับตัวผม แต่ผมยืนยันว่า จะไม่ปล่อยให้การปั่นประเด็นเหล่านี้มาบังตาประชาชนได้ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่การโจมตีตัวบุคคล แต่คือการค้นหาความจริงและความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นกับประชาชนผู้เดือดร้อนในคดีนี้” นายชนินทร์ กล่าว
แต่ในความเป็นจริงเราต้องยอมรับว่า กรณีพิพาทเรื่องที่ดินเขากระโดงระหว่างผู้ยึดครองกับการรถไฟฯ นั้น เกิดขึ้นมานานแล้ว และมันถูกกวาดไว้ใต้พรมในวันที่พรรคภูมิใจไทยมีอำนาจในการบริหารกระทรวงคมนาคม และวันนี้กระทรวงคมมาคมก็กลับมาอยู่ในมือของพรรคภูมิใจไทยอีกครั้ง
มิหนำซ้ำกรมที่ดินซึ่งอยู่ในสังกัดของกระทรวงมหาดไทยซึ่งมีหน้าที่ต้องดำเนินการตามคำสั่งของศาลปกครองก็ยังอยู่ในมือของพรรคภูมิใจไทยด้วย
ชนินทร์ออกมาชี้แจงต่อสังคมว่า คำพิพากษาศาลฎีกาที่ให้การรถไฟฯ ชนะคดี เป็นเพียงคำตัดสินที่มีผลผูกพันเฉพาะคู่ความและเฉพาะแปลงที่ถูกฟ้อง ไม่สามารถขยายผลครอบคลุมพื้นที่เขากระโดงทั้งหมดได้ โฉนดที่ยังไม่ถูกนำขึ้นศาลก็ยังคงมีสถานะเป็นเอกสารสิทธิของเอกชน เว้นแต่จะมีการฟ้องร้องใหม่และศาลวินิจฉัยโดยตรง
ฟังเผินๆ คำชี้แจงนี้ดูเหมือนมีน้ำหนัก เพราะหลักกฎหมายทั่วไปก็จริงที่ว่า คำพิพากษาผูกพันเฉพาะคู่ความ (res judicata) แต่ปัญหาคือ ชนินทร์กำลังตีความแบบ “แคบเกินไป” และละเลยสาระสำคัญของคำพิพากษาศาลฎีกาและแนวทางของศาลปกครอง
ศาลฎีกาไม่ได้เพียงตัดสินสิทธิระหว่างคู่ความ แต่ได้วินิจฉัยหลักการชัดเจนว่า ทางแยกเขากระโดงเป็นที่ดินของรัฐเพื่อกิจการรถไฟฯ และที่ดินเพื่อสาธารณะไม่อาจออกโฉนดให้เอกชนครอบครองได้ โฉนดที่ออกภายหลังจึงเป็นโมฆะ หลักการเช่นนี้มิใช่จำกัดอยู่แค่คู่ความ แต่เป็นบรรทัดฐานที่ศาลใดๆ ในอนาคตย่อมต้องถือเป็นแนวพิจารณา
ยิ่งไปกว่านั้น ศาลปกครองกลางในคดีแดงที่ 582/2566 ยังสั่งให้อธิบดีกรมที่ดินตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 โดยกำหนดให้ใช้แนวคำพิพากษาศาลฎีกาเป็นหลักอ้างอิงในการตรวจสอบที่ดินแปลงอื่นๆ นี่แสดงชัดว่า ศาลเองก็เห็นว่าคำพิพากษาศาลฎีกามีผลเกินกว่าคู่ความ และใช้เป็นบรรทัดฐานทั่วไปได้
ดังนั้น คำชี้แจงของชนินทร์จึงเป็นการพูด “ครึ่งเดียวของความจริง” เพราะแม้ผลโดยตรงจะผูกพันเฉพาะคู่ความ แต่ในเชิงบรรทัดฐาน คำพิพากษาศาลฎีกาได้ยืนยันแล้วว่าที่ดินเขากระโดงคือที่สาธารณะของการรถไฟฯ การออกโฉนดให้เอกชนภายหลังจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย หากวันหนึ่งการรถไฟฯ นำที่ดินแปลงอื่นเข้าสู่กระบวนการศาล โอกาสสูงมากที่ศาลจะตัดสินไปในทิศทางเดียวกับคดีที่ผ่านมา
ทั้งหมดนี้ยิ่งสะท้อนว่าคดีเขากระโดงไม่ได้ติดอยู่ที่กฎหมายแต่ติดอยู่ที่ “การเมือง” ตระกูลชิดชอบในฐานะเจ้าของพื้นที่และพรรคภูมิใจไทยในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาล ย่อมมีอำนาจต่อรองสูง กรมที่ดินจึงเลือกตีความคับแคบเพื่อรักษาสมดุลทางการเมือง
มีใครไม่รู้บ้างว่าเนวิน ชิดชอบ เป็นใคร และมีอิทธิพลอย่างไรในพรรคภูมิใจไทย กับการครอบครองที่ดินเขากระโดงที่สร้างผลประโยชน์มหาศาลให้กับความมั่งคั่งจากธุรกิจบนที่ดินแปลงนี้
ท้ายที่สุด เมื่อพรรคภูมิใจไทยยังครองอำนาจ คดีเขากระโดงก็ยากจะถูกคลี่คลายจริงจัง แต่หากวันหนึ่งอำนาจรัฐเปลี่ยนมือ คดีนี้จะไม่ใช่เพียงข้อพิพาทที่ดินธรรมดา หากแต่จะถูกหยิบขึ้นมาเป็นอาวุธทางการเมือง เพื่อโจมตีตระกูลชิดชอบในทุกมิติ ตั้งแต่การครอบครองที่ดิน การตีความกฎหมายที่เลือกทำเพียงบางส่วน ไปจนถึงมารยาททนายความที่ถูกตั้งคำถาม และอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการสั่นคลอนฐานอำนาจของพรรคภูมิใจไทยในที่สุด
ความจริงย่อมมีหนึ่งเดียว หากอำนาจรัฐถูกใช้อย่างเป็นธรรมไม่ใช่เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของใคร ข้าราชการเป็นส่วนหนึ่งที่ปกป้องผลประโยชน์ของรัฐและประชาชนไม่ใช่รับใช้อำนาจการเมือง ไม่ยากเลยที่ความจริงจะถูกเปิดเผยว่าที่ดินเขากระโดงเป็นของใคร
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan