เมืองไทย 360 องศา
ตอนแรกนึกว่าความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่บานปลายกลายมาเป็นการสู้รบตามชายแดนเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จะเป็นแค่ความรู้สึกของคนไม่กี่คนหรือเป็นแค่พวกนักวิเคราะห์นักวิจารณ์บางพวกเท่านั้น แต่ที่ไหนได้เมื่อล่าสุด “นิด้าโพล” ได้เผยผลสำรวจ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ผลปรากฏว่าคนไทยส่วนใหญ่ในสัดส่วนเปอร์เซ็นต์สูงมากที่เห็นว่า “ไม่ควรคบ” ในความหมายบ้านๆ คือ “คบไม่ได้” นั่นแหละ สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่ายได้ดี
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง “สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เหตุการณ์ปกติ!” เกี่ยวกับความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา
จากการสำรวจเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นเหตุการณ์ที่ดำเนินไปตามปกติ พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 44.96 ระบุว่า เหตุการณ์ไม่ปกติเลย และน่ากังวล รองลงมา ร้อยละ 29.16 ระบุว่า เหตุการณ์ปกติ แต่ยังไม่น่าไว้วางใจ ร้อยละ 23.74 ระบุว่า เหตุการณ์ยังคงไม่ปกติเท่าไรนัก และร้อยละ 2.14 ระบุว่า เหตุการณ์ปกติจริง ไม่มีอะไรน่ากังวล
ด้านความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการแทรกแซงของประเทศมหาอำนาจในสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 64.73 ระบุว่าประเทศมหาอำนาจเข้ามาแทรกแซงเพราะต้องการผลประโยชน์ รองลงมา ร้อยละ 17.10 ระบุว่า ไทยควรปฏิเสธการเข้ามาแทรกแซงของประเทศมหาอำนาจ ร้อยละ 8.85 ระบุว่า ประเทศมหาอำนาจเข้ามาแทรกแซงเพราะต้องการให้เกิดสันติภาพจริงๆ ร้อยละ 6.11 ระบุว่า ไม่เชื่อว่าประเทศมหาอำนาจจะเข้ามาแทรกแซงอย่างจริงจัง และร้อยละ 3.21 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ท้ายที่สุด เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อประเทศกัมพูชาในฐานะเพื่อนบ้านของไทยจากสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาในขณะนี้ พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 54.12 ระบุว่า เป็นเพื่อนบ้านที่ไม่ควรคบด้วย รองลงมา ร้อยละ 29.39 ระบุว่าเป็นเพื่อนบ้านที่คบกันได้ แต่ไม่ควรไว้วางใจ ร้อยละ 14.20 ระบุว่า เป็นฝั่งตรงข้าม ร้อยละ 1.91 ระบุว่า ยังคงเป็นเพื่อนบ้านที่คบกันได้เหมือนเดิม และร้อยละ 0.38 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
ผลสำรวจดังกล่าวที่สอบถามความคิดเห็นของประชาชนต่อประเทศกัมพูชา ที่ร้อยละ 54.12 ระบุว่าเป็นเพื่อบ้านที่ไม่ควรคบด้วย และอีก ร้อยละ 29.39 บอกว่า คบกันได้แต่ไม่ควรไว้วางใจ และอีกร้อยละ 14.20 ถึงขั้นบอกว่าเป็นฝั่งตรงข้าม ดังนั้นเมื่อสรุปรวมๆกันความหมายก็คือ “ไม่ควรคบ” หรือ “คบไม่ได้” นั่นแหละ
ก่อนหน้านี้ แม้แต่ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ก็ยังเคยระบุว่า “ไม่เคยไว้ใจเขมร” และ ยังเผยว่าก่อนหน้านี้เคยเตือน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี มาแล้ว โดยบอกว่าเป็นการพูดคุยส่วนตัวกับท่านประจำอยู่แล้ว ก็ให้กำลังใจท่าน ส่วนตอนนี้นายภูมิธรรม ถูกโจมตีหลายทางนั้น ตนมองว่ามีหลายเรื่องจากหลายทาง รวมทั้งการเมืองด้วย แต่ความจริงก็คือความจริง
ขณะเดียวกันสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา แม้ว่าตอนนี้จะสามารถมีข้อตกลงหยุดยิงกันไปแล้ว แต่บรรยากาศยังไม่น่าไว้วางใจ โดยเฉพาะยังมีความเคลื่อนไหวทั้งการเสริมกำลังและอาวุธของฝั่งกัมพูชาเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ยังมีการลักลอบเข้ามาวาง “ทุ่นระเบิด” ตลอดเวลา ล่าสุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาก็มีการทำแบบเดิมอีกคนทหารไทยต้องยิงปืนขับไล่จนต้องหนีไป
พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า กองทัพบกได้รับรายงานจาก กองทัพภาคที่ 2 กรณีพบการปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายกัมพูชาในพื้นที่อธิปไตยไทย โดยเมื่อวันที่ 22 ส.ค. 68 เวลา 16.00 น. หน่วยทหารในพื้นที่ตรวจพบทหารกัมพูชาจำนวน 2–3 นาย จากลักษณะการแต่งกายคาดว่าเป็นหน่วย BHQ ปฏิบัติการดักซุ่ม และตรวจการณ์ฝ่ายไทย บริเวณทิศตะวันตกของเนิน 350 ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ห่างจากแนวเส้นปฏิบัติการเข้ามาในเขตอธิปไตยไทยประมาณ 100 เมตร จึงได้ทำการยิงขับไล่จนฝ่ายกัมพูชาหลบหนีไป
เมื่อมั่นใจว่า พื้นที่ปลอดภัยแล้ว หน่วยจึงเข้าทำการตรวจสอบพื้นที่ และตรวจพบ ทุ่นระเบิด PMN-2 บริเวณจุดที่พบทหารกัมพูชา ดักซุ่ม จำนวน 1 ทุ่น จึงได้ทำการตรวจสอบพื้นที่โดยละเอียด พร้อมทำเครื่องหมายไว้ เพื่อรอรับการสนับสนุนจากชุดตรวจค้นทุ่นระเบิดดำเนินการต่อไป
ต่อมาเมื่อวันที่ 23 ส.ค. 68 จากการเข้าตรวจสอบพื้นที่โดยรอบของชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดอีกครั้ง พบการวางทุ่นระเบิด PMN-2 เพิ่มอีกจำนวน 2 ทุ่น (รวมเป็นทั้งหมด 3 ทุ่น) พร้อมลูกกระสุนเครื่องยิงลูกระเบิด 2 ลูก และตะปูเรือใบจำนวนมาก
นอกจากนี้ตามแนวชายแดนตลอดแนวก็ยังมีการรุกล้ำแดนไทยเข้ามา หลายพื้นที่มีการเข้ามาตั้งชุมชน ตั้งวัด มีการสร้างอาคารพาณิชย์ บางพื้นที่ เช่นฝั่งตรงข้ามกับจังหวัดสระแก้ว อำเภอคลองลึก ในฝั่งอำเภอปอยเปตของกัมพูชา ที่รับรู้กันว่าเป็นแหล่งธุรกิจเถื่อนมูลค่ามหาศาลต่อปี ทั้งบ่อนการพนัน ธุรกิจมืดการค้าของเถื่อนสารพัด
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน คือ บริเวณ “บ้านหนองจาน” ในพื้นที่อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว จากเดิมที่เคยเป็น “ค่ายผู้อพยพ” ที่ไทยให้ความเมตตาช่วยเหลือชาวกัมพูชาที่กำลังบ้านแตกสาแหรกขาดเมื่อปี 2522 จากสงครามภายในที่เข่นฆ่ากันเอง ไทยช่วยเหลือด้วยมนุษยธรรมหลายสิบปี แต่เมื่อถึงเวลาที่บ้านเมืองฝั่งโน้นเริ่มสงบลงบ้างก็ต้องกลับไป แต่ก็ยังมีอีกจำนวนมากที่ลงหลักปักฐานที่เดิมและฮุบพื้นที่ของคนไทยหน้าตาเฉย และจนบัดนี้ ผลักดันอย่างไรก็ไม่ยอมไป ยังอ้างว่าพื้นที่ และที่ดินตรงนั้นเป็นของกัมพูชาเสียอีก
อย่างไรก็ดี ทุกอย่างที่เป็นแบบนี้ ส่วนสำคัญเป็นเพราะยังมีข้าราชการ และนักการเมืองไทยเห็นแก่ได้ หรือเอาหูไปนาตาไปไร่ หรือมีผลประโยชน์บังตา ทำให้ปัญหาคาราคาซังมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งข้อดีของการเปิดปัญหาการสู้รบและความขัดแย้งรุนแรงแบบนี้ มองในมุมบวกก็คือได้เวลาสะสางปัญหากันครั้งใหญ่เสียที ทำให้ต่อไปนี้ จะไม่มี “ความสัมพันธ์แบบเดิม” กันอีกแล้ว จะไม่มีความอะลุ้มอล่วย กันอีกต่อไป ความหมายคือ “ต่างคนต่างอยู่” และที่ผ่านมา กัมพูชาก็ไม่เคยเห็นไทยเป็นเพื่อนอยู่แล้ว เหมือนกับว่า เป็น “เพื่อนบ้านที่ไม่มีประโยชน์” คบไม่ได้อะไรประมาณนั้น
ดังนั้น เมื่อสำรวจจากความรู้สึกของคนไทยส่วนใหญ่ที่สะท้อนออกมาดังกล่าวทำให้เห็นว่า ความสัมพันธ์และความรู้สึกของคนไทยต่อกัมพูชาถือว่า“ร้าวลึก” จริงๆ อาจแบบที่เรียกว่า “ถึงกระดูก” กันเลยก็ว่าได้ ซึ่งต่อไปก็จะไม่มีทางเหมือนเดิมอีกแล้ว ขณะเดียวกันเมื่อมองข้ามไปอีกฝั่งก็เหมือนกับว่า คนกัมพูชา ก็ไม่ต้องการญาติดีกับเราเหมือนกัน เพราะฉะนั้น “ต่างคนต่างอยู่” นั่นแหละดีแล้ว!!