กต.เชิญคณะทูตอาเซียนและภาคีอนุสัญญาออตตาวา ฟังบรรยายสรุปกัมพูชาลอบวางทุ่นระเบิดใหม่ ย้ำไทยมีหลักฐานเชิงประจักษ์ เตรียมพาคณะลงอุบลฯ-ศรีสะเกษพรุ่งนี้ เก็บข้อมูลพิจารณาทบทวนให้ความช่วยเหลือเขมรเก็บกู้ทุ่นระเบิด รวมทั้งกดดันให้รับผิดชอบ
วันนี้(15 ส.ค.) กระทรวงการต่างประเทศได้จัดการบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศ เกี่ยวกับเหตุการณ์การใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโดยกัมพูชา หลังหลังการประชุม นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงว่า การบรรยายสรุปในวันนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ข้อเท็จจริง กรณีที่ฝ่ายกัมพูชาลอบวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลให้ทหารไทยหลายนายได้รับบาดเจ็บถึงขั้นทุพพลภาพถาวร และสร้างความเสี่ยงต่อชีวิตของประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณชายแดน พร้อมทั้งชี้แจงข้อมูลข้อเท็จจริงและเหตุผลเกี่ยวกับการดําเนินการของไทยในเรื่องนี้
การบรรยายสรุปในครั้งนี้กระทรวงการต่างประเทศได้เชิญคณะทูตจากประเทศสมาชิกอาเซียนและภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรืออนุสัญญาออตตาวา รวมทั้งผู้แทนองค์การระหว่างประเทศและองค์กรภาคประชาสังคมด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิด โดยมีผู้เข้าร่วมรับฟังประกอบไปด้วยเอกอัครราชทูตหรือผู้แทนจากทั้งหมด 41 ประเทศ และ 4 องค์การระหว่างประเทศ รวมทั้งสิ้น 67 คน
โดยมีนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งอยู่ที่ประเทศจีนเพื่อเป็นประธานร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ ตามกรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง (Mekong - Lancang Cooperation) หรือ MLC ครั้งที่ 10 ที่เมืองอันหนิง กล่าวเปิดประชุมผ่านวีดีโอคอล จากนั้นเป็นการบรรยายสรุปของนายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการต่างประเทศ ตามด้วย พลโท ณัฐพงษ์ เพราแก้ว เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร พร้อมผู้แทนหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรม หรือ TMAC นายปิยภักดิ์ ศรีเจริญ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก และนางสาวพินทุ์สุดา ชัยนาม อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ
นายนิกรเดช กล่าวว่า สำหรับประเด็นสําคัญจากการบรรยายครั้งนี้สรุปได้ 6 เรื่องด้วยกัน ได้แก่
ประเด็นที่ 1.ประเทศไทยยึดมั่นในกฎหมายระหว่างประเทศ และพร้อมปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด รวมถึงพันธกรณีภายใต้อนุสัญญาออตตาวาในการกําจัดทุ่นระเบิดให้หมดไป ทั้งด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยและด้านมนุษยธรรมสําหรับประชาชน
จนถึงปัจจุบันไทยได้เก็บกู้พื้นที่ปนเปื้อนทุ่นระเบิดไปแล้วกว่า 99.5% ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 2,500 ตารางกิโลเมตร และยังให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้สามารถดํารงชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรีนะครับ
ประเด็นที่ 2.ในช่วงเวลาไม่ถึง 1 เดือนที่ผ่านมา ทหารไทยต้องเหยียบกับระเบิดที่วางโดยฝ่ายกัมพูชาแล้ว 5 ครั้ง เมื่อวันที่ 16 วันที่ 23 และ 28 กรกฎาคม และล่าสุดเมื่อวันที่ 9 และ 12 สิงหาคม ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้ทุพพลภาพถาวร 5 ท่าน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บหลัก 10 คน
ฝ่ายไทยมีหลักฐานเชิงประจักษ์ ที่บ่งชี้ว่าทุ่นระเบิดที่พบในบริเวณชายแดนเป็นทุ่นระเบิดประเภท PMN2 ที่ถูกนํามาวางใหม่ ไม่ใช่ทุ่นระเบิดที่เป็นมรดกจากสงครามในอดีตที่ฝ่ายกัมพูชากล่าวอ้าง
“ผมต้องขอย้ําอีกครั้งว่าฝ่ายไทยไม่มีทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในครอบครองแล้วนะครับ” นายนิกรเดช กล่าว
ประเด็นที่ 3.ประเทศไทยได้ดําเนินการประท้วงกัมพูชาในช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการดําเนินการตามกรอบอนุสัญญาออตตาวา ส่งหนังสือประท้วงไปอย่างเลขาธิการสหประชาชาติ ประท้วงไปยังประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ โดยไทยประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโดยกัมพูชา ซึ่งเป็นการละเมิดอธิปไตย เป็นการละเมิดบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ รวมทั้งหลักการพื้นฐานของกฎบัตรสหประชาชาติ รวมทั้งยังเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และพันธกรณีตามอนุสัญญาออตตาวา ที่ทั้งไทยและกัมพูชาเป็นภาคี
อีกทั้งเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงที่กําหนดให้ประเทศทั้ง 2 ยุติการใช้อาวุธทุกชนิด รวมถึงทุ่นระเบิดสังหารบุคคลด้วยนะครับ
ประเด็นที่ 4.กัมพูชาปฏิเสธที่จะหารือเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิด รวมถึงการปราบปรามการหลอกลวงทางออนไลน์ตามที่ไทยเคยเสนอในการประชุม GBC สมัยวิสามัญที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงพฤติการณ์ที่ไม่สุจริตใจและไม่จริงใจของฝ่ายกัมพูชาประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้กัมพูชายุติการกระทําที่ละเมิดอนุสัญญาออตตาวา และข้อตกลงหยุดยิงโดยทันที แสดงความจริงใจที่จะฟื้นฟูสันติภาพบริเวณชายแดน และหันกลับมาร่วมมือกับไทยในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดน
ประเด็นที่ 5. ประเทศไทยหวังว่าประเด็นเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิด จะได้รับการพิจารณาในการประชุม RBC และ GBC ที่กําลังจะมีขึ้นในเร็วๆ นี้ ซึ่งเป็นประเด็นที่ส่งผลต่อความปลอดภัยและการดํารงชีวิตของพี่น้องประชาชนทั้ง 2 ฝั่ง
ประเด็นที่ 6. ในวันพรุ่งนี้ วันที่ 16 สิงหาคม 2568 กระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะจัดให้คณะทูตจากประเทศสมาชิกอาเซียน รัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา และผู้แทนองค์กรภาคประชาสังคมที่มีภารกิจด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดรวมทั้งสื่อมวลชนไทย และสื่อมวลชนต่างประเทศ ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อสังเกตความเสียหายสังเกตการณ์ความเสียหายที่เกิดจากการใช้ทุ่นระเบิดของฝั่งกัมพูชา
ซึ่งบุคคลกลุ่มนี้จะได้นําหลักฐานเชิงประจักษ์ต่างๆ กลับมากลับไปพิจารณาทบทวนให้ความช่วยเหลือแก่กัมพูชาในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดอย่างรอบคอบ รวมทั้งกดดันให้กัมพูชาในฐานะรัฐภาคีอนุสัญญาแสดงความรับผิดชอบในเรื่องนี้
“ผมขอถือโอกาสนี้ ย้ำอีก 2 ประเด็นนะครับว่า หนึ่ง ไทยยังยืนยันความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาเขตแดนและความตึงเครียดต่างๆ กับกัมพูชาโดยสันติวิธีผ่านกลไกทวิภาคีที่เรามีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นอาร์บีซี จีบีซี หรือ เจบีซี นะครับ ไทยจะปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงด้วยความจริงใจและความสุจริตใจ และเราก็คาดหวังในทางเดียวกันนะครับ ให้กัมพูชาแสดงความจริงใจและสุจริตใจในกลไกเหล่านี้เหมือนกัน
“ข้อ 2 นะครับ ฝ่ายไทยขอเรียกร้องให้กัมพูชายุติการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ซึ่งนอกจากจะขัดต่อเงื่อนไขการข้อตกลงหยุดยิงที่กําหนดให้งดเว้นการแพร่ข้อมูลเท็จ หรือข่าวปลอมแล้ว ยังไม่เป็นผลดีต่อการสร้างภาวะที่เอื้อแก้ไขปัญหาและลดความตึงเครียดที่มีอยู่” นายนิกรเดชกล่าว
สำหรับคำกล่าวผ่านระบบวิดีโอคอลของนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มีใจความว่า วัตถุประสงค์ของการบรรยายสรุปคือเพื่อให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและถูกต้องเกี่ยวกับสถานการณ์ทุ่นระเบิดที่ชายแดนไทย-กัมพูชาแก่ประเทศสำคัญ ๆ และองค์กรระหว่างประเทศภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดต่อต้านบุคคล หรืออนุสัญญาออตตาวา ตลอดจนประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวที่จัดตั้งขึ้นตามการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 16 สมัยวิสามัญ ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ และประเทศผู้สังเกตการณ์และองค์กรอื่น ๆ
เป็นเวลากว่าสองทศวรรษแล้วที่ประเทศไทยได้ยึดมั่นในพันธกรณีทางกฎหมายภายใต้อนุสัญญาออตตาวาอย่างเต็มที่ จวบจนถึงปัจจุบัน เราได้กอบกู้และส่งคืนพื้นที่มีการวางทุ่นระเบิดกว่าร้อยละ 99 ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 2,500 ตารางกิโลเมตร กลับคืนสู่ชุมชนของเรา อีกทั้งได้ดำเนินการและยังคงให้ความช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากทุ่นระเบิด เพื่อให้พวกเขาสามารถดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีและปกติสุข
ความพยายามร่วมกันของประชาคมระหว่างประเทศในการแก้ไขปัญหาผลกระทบด้านมนุษยธรรมจากทุ่นระเบิดได้รุดหน้าไปมากแล้ว และนี่คือเหตุผลที่เหตุการณ์ทุ่นระเบิดที่ชายแดนไทย-กัมพูชาจึงสร้างความสะเทือนขวัญให้กับพวกเราอย่างมาก และย้ำเตือนเราอีกครั้งว่าไม่ควรมีพื้นที่หรือเหตุผลใด ๆ ในการใช้อาวุธชนิดนี้อีกต่อไป
เมื่อวันพฤหัสบดี(7 สิงหาคม) ที่ผ่านมา ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ได้มีการตกลงหยุดยิง ซึ่งไทยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงนี้โดยสมบูรณ์
แต่เป็นที่น่าเศร้าใจที่ไม่ถึง 5 วันหลังจากการประชุมฯ ก็เกิดเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดอีกสองครั้ง โดยหลักฐานยืนยันอย่างชัดเจนว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้เพิ่งถูกวางใหม่โดยกัมพูชา
เหตุการณ์ทุ่นระเบิดที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่ากัมพูชายังคงจงใจละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรงและข้อตกลงหยุดยิงที่ตกลงกันไว้เมื่อเร็ว ๆ นี้ ยิ่งไปกว่านั้น กัมพูชายังจงใจละเมิดพันธกรณีหลักภายใต้อนุสัญญาออตตาวาอีกด้วย
ประเทศไทยขอประณามการกระทำเหล่านี้อย่างรุนแรงที่สุด การกระทำเหล่านี้บ่อนทำลายความสมบูรณ์ของอนุสัญญาออตตาวา และเจตนารมณ์ของปฏิญญาเสียมราฐ-อังกอร์ ซึ่งได้รับการรับรองภายใต้การปกครองของกัมพูชาในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2567
การกระทำเหล่านี้ยังถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง ซึ่งเป็นหลักการที่ผมเชื่อว่าทุกท่านในที่นี้ยึดมั่นอยู่
ก่อนเกิดสถานการณ์ชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา นายกรัฐมนตรีไทยได้เสนอต่อนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเกี่ยวกับปฏิบัติการกวาดล้างทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม ซึ่งนายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้ให้ความเห็นชอบแล้ว อย่างไรก็ตาม ฝ่ายกัมพูชาได้ชะลอการดำเนินการ ซึ่งมาตรการเหล่านั้น หากดำเนินการก็อาจสามารถป้องกันความสูญเสียอันน่าเศร้าที่เพิ่งเกิดขึ้นได้
ที่สำคัญกว่านั้น ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ทหารกัมพูชาพยายามขัดขวางการปฏิบัติการกวาดล้างทุ่นระเบิดของไทยตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้จะมีการเรียกร้องให้ปฏิบัติตามและร่วมมืออย่างต่อเนื่อง แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่กัมพูชาไม่ได้ตอบสนอง
ข้อกังวลเหล่านี้ไม่เพียงแต่มีความสำคัญโดยตรงต่อประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญต่อชุมชนนานาชาติ โดยเฉพาะผู้บริจาคที่ให้การสนับสนุนกัมพูชาด้วยความจริงใจอีกด้วย
ดังนั้น ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อให้แน่ใจว่ากัมพูชาจะหยุดการใช้ทุ่นระเบิดอย่างไร้มนุษยธรรม และปฏิบัติตามพันธกรณีทางกฎหมายภายใต้อนุสัญญาออตตาวาและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด
ดังที่ท่านทราบ ประเทศไทยได้แจ้งเรื่องนี้ต่อเลขาธิการสหประชาชาติ และผ่านทางเลขาธิการฯ เพื่อขอคำชี้แจงจากกัมพูชาตามมาตรา 8 วรรค 2 ของอนุสัญญาออตตาวา เราจะดำเนินการเรื่องนี้ต่อไป
เราขอเรียกร้องประเทศสมาชิกอาเซียน - ในฐานะคณะสังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team) ให้พิจารณาประเด็นนี้อย่างถี่ถ้วนในการไปสำรวจพื้นที่ในอนาคต เพื่อที่บริเวณชายแดนจะปลอดภัยเพื่อประโยชน์ของพลเรือนของทั้งสองประเทศ
“ผมยังอยากขอเชิญท่านร่วมการลงพื้นที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในวันพรุ่งนี้ เพื่อ สังเกตการณ์สถานการณ์ทุ่นระเบิดด้วยตัวท่านเอง
“สุดท้ายนี้ ผมขอยืนยันความมุ่งมั่นของประเทศไทยต่อพันธกรณีตามอนุสัญญาออตตวา และการหยุดยิง รวมทั้งขอขอบคุณทุกท่านที่เข้าร่วมรับฟังการบรรยายสรุปในวันนี้ครับ” นายมาริษกล่าว