xs
xsm
sm
md
lg

โดรนโลเคเตอร์ จากประชาชนถึงมือ "แม่ทัพกุ้ง" - “สารัชถ์"เผยแรงบันดาลใจเป็นลูกทหาร “GULF” ตั้งกองทุน100 ล้านช่วยวันที่ดีๆที่กองบัญชาการกองทัพบก บทสรุป GBC ไทย-กัมพูชา บรรลุข้อตกลง13 ข้อ แต่ไม่แตะ MOU 43-44

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน และคณะ มอบ โดรนโลเคเตอร์ โดยมี พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 รับมอบ
ข่าวปนคน คนปนข่าว


++ โดรนโลเคเตอร์ จากประชาชนถึงมือ "แม่ทัพกุ้ง" - “สารัชถ์"เผยแรงบันดาลใจเป็นลูกทหาร “GULF” ตั้งกองทุน100 ล้านช่วย

วันที่ดีๆที่กองบัญชาการกองทัพบก

ได้เห็นแนวหลังภาคธุรกิจเอกชน-ประชาชน "ใจถึงใจ" สู่แนวหน้า โดยเฉพาะกับทหารหาญผู้เสียสละตามชายแดนไทย-กัมพูชา
เริ่มจาก อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน , สุรวิชช์ วีรวรรณ รองประธานมูลนิธิฯ พร้อมด้วย จตุพร พรหมพันธุ์ , สมชาย แสวงการ , ประพันธ์ คูณมี ตัวแทนจาก กลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย ได้ส่งมอบ "โดรนโลเคเตอร์" หรือ อุปกรณ์ตรวจจับอากาศยานไร้คนขับแบบพกพา ที่มีประสิทธิภาพในการตรวจจับโดรน และเส้นทางการบินแบบเรียลไทม์ สามารถระบุตำแหน่งของโดรน และตำแหน่งคนบังคับโดรน ได้อย่างแม่นยำ

ทั้งหมดจัดซื้อมาจากเงินบริจาคของประชาชาชาวไทยผู้รักชาติทั่วประเทศ ส่งมอบให้ "แม่ทัพกุ้ง" พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 จำนวน 30 ชุด มูลค่า 8,346,000 บาท

โดรนโลเคเตอร์ ถือเป็นอุปกรณ์จำเป็นที่ "กองทัพ" ต้องการที่สุดขณะนี้ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในตอบโต้ ภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศ ได้อย่างทันท่วงที และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ “มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน” ยัง ส่งมอบสิ่งของต่างๆ อีกจำนวนมาก ที่จัดซื้อจากเงินบริจาค และผู้ที่มีจิตศรัทธาที่นำมามอบให้มูลนิธิยามฯ เพื่อส่งมอบต่อให้ทหาร และเจ้าหน้าที่ในแนวหน้า เช่น ยา เวชภัณฑ์ ที่มีผู้ร่วมบริจาคผ่านมูลนิธิยามฯ รวมถึง เสื้อรองใน กางเกงชั้นใน ถุงเท้า มูลค่ารวมประมาณ 10 ล้านบาท

สารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GULF ส่งมอบกองทุน 100 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือและเยียวยาทหารที่ได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต โดยมี พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์  ผบ.ทบ. รับมอบ
วันเดียวกัน "สารัชถ์ รัตนาวะดี" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GULF บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ส่งมอบกองทุน 100 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือและเยียวยาทหารที่ได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิตจากการปฏิบัติภารกิจด้านความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน ไทย-กัมพูชา ซึ่งมีเป้าหมายหลักในการยกระดับคุณภาพชีวิต และมอบขวัญกำลังใจแก่เหล่าทหารและครอบครัว ให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเข้มแข็ง โดยมี “พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์” ผู้บัญชาการทหารบก และ “พล.ท. บุญสิน พาดกลาง” แม่ทัพภาค 2 รับมอบ

“สารัชถ์” ได้เล่าแรงบันดาลใจที่มอบเงิน 100 ล้านบาท ให้กับกองทัพบกว่า พ่อเป็นทหาร พอมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมา และ ได้มีโอกาสพูดคุยกับกองทัพ ซึ่งกลุ่มบริษัทของตัวเองมีธุรกิจในเรื่องของโทรคมนาคม ดาวเทียม ที่นำไปช่วยกองทัพช่วงแรก ซึ่งตอนนั้น แม่ทัพภาคที่ 2 ได้ติดต่อมา เรื่องของสัญญาณโทรศัพท์ในพื้นที่ห่างไกล ที่ไม่สามารถติดต่อได้จึงนำสัญญาณดาวเทียมไปช่วย

หลังจากนั้นไม่ได้คาดคิดว่าสถานการณ์จะรุนแรงขึ้น ซึ่งตอนที่มีทหารบาดเจ็บขาขาด ก็ได้นำเงินไปบริจาคให้กับครอบครัว แต่พอมีเหตุการณ์เสียชีวิตของทหาร และทหารที่บาดเจ็บมากขึ้น จึงได้ปรึกษากับกลุ่มบริษัทและครอบครัว ว่าในฐานะที่เป็นบริษัทของคนไทย ที่มีกำลังอะไรก็ตาม ที่สามารถเข้าไปช่วยกองทัพหรือความมั่นคงได้ ก็ยินดีจะเข้าไปช่วย

โดยสิ่งที่เราไปช่วยคือ ครอบครัวของทหาร และทหารที่เสียชีวิต บาดเจ็บ ทุพพลภาพ ซึ่งคนไทยทุกคนมีความรักชาติ ก็อยากให้ความขัดแย้งมันสิ้นสุดลงไป

นี่คืออีกหนึ่งภาพสะท้อนของความสามัคคีแบบเงียบๆ แต่ยิ่งใหญ่ ของคนไทย ทั้งภาคเอกชนธุรกิจระดับประเทศ และ ภาคประชาชน ที่รวมพลังกันผ่านการบริจาค พร้อมเคียงข้างทหารแนวหน้าโดยไม่ลังเล

ไม่ว่าจะเป็นลูกทหารผู้เป็นเจ้าของธุรกิจระดับหมื่นล้าน หรือประชาชนผู้หยิบยื่นยาเม็ดหนึ่งให้แนวหน้า ทุกมือที่ยื่นออกไป ล้วนมีคุณค่าเท่ากัน เพราะนี่คือพลังใจ...จากใจถึงใจ.

พล.อ.เตีย เสรย-ฮา รองนายกฯ และรมว.กลาโหม กัมพูชา จับมือกับ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม รักษาการรมว.กลาโหม ของไทย หลังบรรลุข้อตกลง การประชุม GBC
++ บทสรุป GBC ไทย-กัมพูชา บรรลุข้อตกลง13 ข้อ แต่ไม่แตะ MOU 43-44

ผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ หรือ GBC ที่ “พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์” รมช.กลาโหม รักษาการ รมว.กลาโหม ของไทย กับ“พล.อ.เตีย เสรย-ฮา” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กัมพูชา ที่มาเลเซียเป็นเจ้าภาพ เสร็จสิ้นลงแล้ว เมื่อวานนี้ (7ส.ค.)

ไทย-กัมพูชา บรรลุข้อตกลงการ “หยุดยิง” 13 ข้อ ที่ต้องบันทึกไว้ ดังนี้

1. ยุติการใช้อาวุธทุกประเภท การโจมตีต่อพลเรือน เป้าหมายพลเรือน และเป้าหมายทางทหารในทุกพื้นที่ ทุกกรณี

2. รักษาสถานะการวางกำลังในที่ตั้งปัจจุบัน สถานะตั้งแต่ 28 ก.ค.68 โดยไม่มีการเคลื่อนย้ายกำลัง และไม่มีการลาดตระเวน ไปยังที่ตั้งของอีกฝ่าย

3. ไม่เพิ่มเติมกำลังตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา

4. ไม่กระทำการอันเป็นการยั่วยุ ที่ส่งผลให้เกิดความตึงเครียด การมีกิจกรรมทางทหารเข้าไปยังดินแดน เขตน่านฟ้า หรือที่ตั้งของอีกฝ่าย

5. ไม่ใช้กำลังต่อพลเรือน หรือเป้าหมายทางพลเรือนในทุกกรณี

6. การปฏิบัติตามอนุสัญญาเจนีวา : การปฏิบัติต่อผู้ที่ถูกจับกุมตัว การขอส่งตัวผู้บาดเจ็บมารักษาในสถานพยาบาลของอีกฝ่าย โดยจะขึ้นอยู่กับศักยภาพในการรองรับของสถานพยาบาลแล้วแต่กรณี

7. กรณีมีความขัดแย้งกันด้วยอาวุธทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ ทั้งสองฝ่ายจะหารือกันในระดับปฏิบัติผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ เพื่อป้องกันการขยายตัวของสถานการณ์

8. เห็นชอบให้เพิ่มในเรื่องของการปฏิบัติดังนี้ 8.1 ดำรงการติดต่อสื่อสารอย่างต่อเนื่องระหว่างหน่วยทหารในพื้นที่ 8.2 จัดการประชุม RBC ภายใน 2 สัปดาห์นับจากการประชุม GBC ใน 7 ส.ค. 68 และ 8.3 ดำรงช่องทางการติดต่อสื่อสารโดยตรงระดับรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารสูงสุดของทั้งสองประเทศ

9. งดเว้นการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จหรือข่าวปลอม

10. ทั้งสองฝ่ายต้องดำเนินการตามผลหารือ เมื่อ 28 ก.ค. 68 ซึ่งรวมถึงการหยุดยิง และการมีคณะผู้สังเกตการณ์จากประเทศสมาชิกอาเซียน นำโดยมาเลเซีย

11. เห็นชอบให้ RBC ในแต่ละพื้นที่ ดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิง โดยมีคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน ซึ่งนำโดยมาเลเซีย เป็นผู้ร่วมสังเกตการณ์

12. ในระหว่างการจัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนที่มีมาเลเซียเป็นผู้นำ จะใช้กลไกคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว ซึ่งประกอบด้วยผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารประเทศสมาชิกอาเซียน ประจำประเทศไทย และกัมพูชา ทำหน้าที่แทนเป็นการชั่วคราว

13. ให้จัดการประชุม GBC ในหนึ่งเดือนหลัง 7 ส.ค. 68 (สถานที่จะตกลงกันภายหลัง) หรือมิเช่นนั้น การประชุม GBC วิสามัญ จะถูกจัดขึ้นเพื่อเจรจาการหยุดยิง

ทั้งนี้ ยังมีอีก 2 ประเด็นสำคัญ ที่ฝ่ายไทยยกขึ้นมาเจรจา แต่ฝ่ายกัมพูชา ยังไม่ตอบรับ โดยบ่ายเบี่ยงว่า เอาไว้ในการประชุม GBC ครั้งต่อไปค่อยหารือ คือ 1. ความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ที่ฝ่ายกัมพูชาได้วางไว้ และ 2. ความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะการหลอกลวงออนไลน์ ที่หลอกคนไทย และประเทศอื่นในภูมิภาคอย่างกว้างขวาง
อย่างไรก็ตาม แม้จะบรรลุการเจรจา แต่เชื่อว่า การตรึงกำลังชายแดนของทหารไทย และกัมพูชา ยังต้องดำเนินต่อไป เพราะต่างฝ่ายต่างไม่เชื่อมั่นใน “ความจริงใจ” ต่อกัน

อีกทั้งความไม่ชัดเจนในเส้นเขตแดน ทำให้ต่างฝ่ายต่างพยายามยึดความได้เปรียบทางภูมิประเทศเอาไว้ก่อน ซึ่งการจะแก้ปัญหาในเชิงเทคนิค การปักปันเขตแดนใหม่ จะต้องไปดูในการประชุมครั้งถัดไป โดยเฉพาะการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย (JBC) ไทย – กัมพูชา ที่จะมีขึ้นในอนาคต

แต่เชื่อเถอะ การปักปันเขตแดน จะหาข้อยุติได้ยาก ตราบใดที่ไทยยังไม่มีการยกเลิก MOU 43-44

เพราะ MOU 43 นั้น ฝ่ายกัมพูชา ยึดเอาแผนที่ยุคฝรั่งเศสล่าอาณานิคม ซึ่งมีความหยาบมาก คืออัตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ขณะที่ไทย ยึดแผนที่ ที่นานาประเทศใช้กันคือ 1 ต่อ 50,000 และใช้สันปันน้ำเป็นเขตแดนตามธรรมชาติตามหลักสากล
คุยกันครั้งใด ก็ตกลงกันไม่ได้ แม่แต่ในปัจจุบันที่ ทหารไทย ยึดภูมะเขือ ยึดช่องอานม้า ปราสาทตาเมือนธม กัมพูชา ยังอ้างว่าไทยรุกล้ำดินแดน

เช่นเดียวกับ MOU 44 ที่กัมพูชา ลากเส้นไหล่ทวีปลงไปในทะเล โดยไม่ยึดตามกติกาสากล แล้วก็อ้างว่ามีพื้นที่ทับซ้อน กับเส้นไหล่ทวีปของไทยที่ลากตามกติกาสากล

แต่“พล.อ.ณัฐพล” ก็ยังไม่คิดที่จะยกเลิก MOU 43 อ้างว่า ยังมีประโยชน์ เพราะปัจจุบันที่เรากล่าวหากัมพูชา กับนานาประเทศได้ เพราะเขาผิด MOU 43 หากไม่มี MOU 43 ก็ไม่มีกติกาอ้างอิง ที่จะไปกล่าวหาเขาได้

พูดง่ายๆว่า มี MOU เอาไว้เพื่อเป็นหลักฐานในการประท้วง

แต่ที่ผ่านมากัมพูชาละเมิดเป็นร้อยๆ ครั้ง ไทยก็ประท้วงเป็นร้อยๆ ครั้ง แต่ไม่เคยเห็นว่าจะได้ผล!


กำลังโหลดความคิดเห็น