วันนี้ (15 ส.ค.) นายณรงเดช อุฬารกุล สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ในฐานะคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสการเปิดนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ แลกกับภาษีที่ไทยได้รับ 19% ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลไปเจรจากับทางสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นการลดเงื่อนไขในการนำเข้า ไม่ใช่เพียงหมูเนื้อแดงอย่างเดียว แต่ยังมีข้าวโพดจีเอ็มโอด้วย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรเป็นอย่างมาก ในฐานะประธาน กมธ.ได้เชิญทั้งกระทรวงพาณิชย์ มาสอบถามถึงกรณีการนำเข้าหมู 1% จะได้รับผลกระทบเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงว่า ยังไม่ทราบผลการเจรจา ดังนั้น เรื่องของผลกระทบจึงไม่มีใครตอบได้ และไม่มีหน่วยงานไหนบอกเลยว่า 1% ที่พูดถึงคือส่วนไหน ตัวเลขเก่าก็ไม่มี เพราะเราไม่เคยนำเข้านี้คือปัญหา
เมื่อถามว่าไทยมีคำสั่งห้ามใช้ และห้ามนำเข้าสินค้าปศุสัตว์ที่มีสารเร่งเนื้อแดง เนื่องจากมีข้อกังวลด้านสุขภาพในผู้บริโภค หากมีการแก้กฎหมายแล้วจะมีปัญหาหรือไม่ นายณรงเดช กล่าวว่า เกษตรกรรายย่อยจะกระทบมาก เพราะหมูที่ใช้สารเร่งเนื้อแดงมีราคาถูกกว่าหมูที่เลี้ยงปกติที่จำหน่ายในประเทศไทยอยู่แล้วถึง 30% วันนี้เกษตรเองก็ได้รับผลกระทบจากโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร เรื่องนี้จะกลับมาซ้ำเติมส่งผลให้เหลือแต่ผู้ผลิตหมูรายใหญ่ และจะทำให้ไม่มีการแข่งขันภายในประเทศ เกษตรกรเองก็ไม่มีศักยภาพในการนำเข้าจะกลายเป็นว่า ผู้ผลิตรายใหญ่จะผลิตและนำเข้าเองทั้งหมด อีกทั้งช่องทางการจำหน่าย ห้างสรรพสินค้าทั้งค้าปลีก ค้าส่ง ก็อยู่ในมือรายใหญ่หมด
เมื่อถามถึงผลกระทบหากมีการนำเข้าหมูที่ใช้สารเร่งเนื้อแดงเข้ามาในไทย นายณรงเดช กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นที่ถกเถียงกันมาตลอดว่า ส่งผลต่อสุขภาพหรือไม่ ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบคือองค์การอาหารและยา (อย.) หากจะแก้ไขกฎหมายต้องมีข้อมูลที่สามารถยืนยันว่าการบริโภคหมูที่ใช้สารเร่งเนื้อแดงปลอดภัย และหากจะมีการนำเข้าจริงควรมีการนำเข้าในตลาดเฉพาะเช่น อาหารแปรรูปที่อยู่ในอุตสาหกรรม เพื่อทำให้สามารถควบคุมคุณภาพได้ อย่างน้อยก็มีกระบวนการตรวจสอบ ส่วนสิ่งที่ไม่ควรทำคือ การนำเข้ามาชำแหละตามเขียงในตลาด เพราะจะตรวจสอบติดตามไม่ได้
“เนื่องจากยังไม่เคยนำเข้าจึงต้องมีการประเมินความเสี่ยง ระบบติดตามสุขภาพหลังที่มีการอนุญาตให้นำเข้าแล้วว่า สารดังกล่าวมีผลกระทบต่อสุขภาพจริงหรือไม่ ถ้ามีผลกระทบก็ต้องคิดต่อว่า จะทำอย่างไร” นายณรงเดช กล่าว