ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ ศึกข้าชั่ว-เอ็งเลว "ศุภชัยVSเดชอิศม์" หลัง "เขากระโดง" โดนบี้จึงไล่ขยี้ปม "เขาน้อย" คืน
สาดวิวาทะเข้าใส่กันอย่างดุเดือดกลายเป็นมวยคู่อาฆาต ระหว่าง “เดชอิศม์ ขาวทอง” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กับ “ศุภชัย ใจสมุทร” ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย พรรคภูมิใจไทย หลังจากที่ฝ่ายน้ำเงิน โดนหมัด “เขากระโดง”เสยคางเข้าให้ แล้วพยายามจะตอบโต้ออกอาวุธเอาคืนหยิบเอาปม “เขาน้อย” แผลเก่ามาขยี้อีกฝ่าย
งานนี้ “ศุภชัย ค่ายชิดชอบ” เหวี่ยงหมัดไปที่คดีญาติของ “เดชอิศม์” บุกรุกโบราณสถาน จ.สงขลา
ก่อนนั้น ก็โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ไล่กระซวก “เดชอิศม์” มาต่อเนื่อง ว่า กรณีที่ศาลจังหวัดสงขลา มีคำพิพากษาให้จำคุก 6 ปี นางณัฐณรันต์ จันทร์สว่าง, นายชาญชญา จันทร์สว่าง และ นายกอง จันทร์สว่าง คดีบุกรุกโบราณสถานเขาน้อย จ.สงขลา โดยเจ้าตัวระบุ ...เขากระโดงไม่มีใครบุกรุก แต่ที่บุกรุกแน่ๆ คือโบราณสถานหัวเขาแดง ต่างหาก และผู้ทำผิดคือ พี่สาว พี่เขย หลานชาย ของ “เดชอิศม์” โดยศาลมีคำพิพากษาให้จำคุก 6 ปี และให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 10.5 ล้านบาท ขอถามว่าเรื่องนี้ “เดชอิศม์” จะว่าอย่างไร?
“เดชอิศม์” ตั้งหลัก ปักหลักซด ถามกลับ “ศุภชัย”ไปว่า ยังเป็นนักกฎหมายอยู่หรือไม่ เพราะคนที่เป็นนักกฎหมายต้องมีจริยธรรมด้วย และยังเป็นนักการเมืองอยู่หรือไม่ หากยังเป็น ควรมองที่ปวงชนชาวไทย อย่าไปมองที่คนใดคนหนึ่ง หรือตระกูลใดตระกูลหนึ่ง นั่นไม่ใช่นักการเมือง!
แถมด้วยว่า การที่ญาติพี่น้องไปกระทำความผิด เราต้องไปรับผิดด้วยหรือ? พี่ผมไปกระทำความผิด ผมต้องไปรับผิดด้วยหรือ ยกตัวอย่างง่ายๆ หาก "พ่อ"ของศุภชัย ไปบุกรุกเขากระโดง แล้วโดนศาลตัดสินจำคุก ถามว่า “ศุภชัย”ต้องไปรับโทษด้วยไหม!? ก็ไม่ต้อง
ฉะนั้นจึงอยากให้ “ศุภชัย”ตั้งหลักคิดให้ดี อย่าเอามาปนเปกัน ที่สำคัญวันนี้ญาติผม บุกรุกโบราณสถานไม่ใช่ "หัวเขาแดง" แต่เป็น "เขาน้อย" ตอนนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างอุทธรณ์ และฎีกา จึงไม่แน่ใจว่าการที่ศุภชัยมาพูดเป็นการละเมิดอำนาจศาลหรือไม่?
“เดชอิศม์” ยังฝากไปถึงศุภชัยว่า ขนคนที่เป็นผู้ต้องหา ระหว่างเขากระโดงกับเขาน้อย มาที่วัดพระแก้ว มาสาบานร่วมกันว่า ยอมรับคำพิพากษาของศาลฎีกา ดีหรือไม่ ?
และ ไม่ลืมขู่ซ้ำไปอีกดอก ย้ำว่า เขากระโดงเป็นที่ดินของหลวง ต้องเอากลับมาเป็นของหลวงให้หมด และต้องไม่ยืดเยื้อกว่านี้ จากนี้เป็นหน้าที่ของอธิบดีกรมที่ดินเพิกถอน เป็นคนเซ็นเพิกถอน
เจอแบบนี้ “ศุภชัย ค่ายชิดชอบ” ก็เลยสวนกลับมาอีกดอก แบบไม่ลดราวาศอก บอกว่า พ่อเสียชีวิตไปแล้ว 35 ปี แต่มั่นใจได้คือ พ่อไม่ทำชั่ว บุกรุกโบราณสถานเหมือนพี่สาวคุณ พี่เขยคุณ หรือหลานคุณ จึงไม่ต้องติดคุกแทน
ก่อนจาก พึมพำไม่รู้หมายถึงใคร ว่า ผมไม่ได้ประพฤติชั่ว ผมสอนลูกให้ประพฤติตนเป็นคนดี ผมจะไม่ให้ลูกเปิดบ่อนเพราะเงินที่ได้มาเป็นเงินสกปรก และผมจะไม่ให้ลูกสะใภ้ เปิดบ่อนการพนันออนไลน์
ผมมั่นใจ ยืนยันว่าผมไม่ได้ประพฤติชั่ว ทำหน้าที่อะไรก็ทำหน้าที่ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ตั้งใจในการทำงานและไม่เคยทุจริต หรือทำลายบ้านเมือง เป็น สส. ก็ทำหน้าที่ทุ่มเททำงานเพื่อประชาชน และไม่เคยเบิกเบี้ยประชุมอันเป็นเท็จ ไม่คบจีนเทา จีนดำ ทำบ่อนการพนันกับใคร ผมไม่เคยถูก ป.ป.ช.ตรวจสอบว่าทุจริตประพฤติมิชอบ
สรุปว่า งานนี้นอกจากมวยถูกคู่ฟาดกันไปฟาดกันมา แล้ว ยังถูกใจประชาชนคนดู เพราะนักการเมืองแฉนักการเมืองด้วยกันเมื่อไหร่ ความบันเทิงประเภท “น้ำเน่า” ก็บังเกิด
บท “ข้าชั่ว..เอ็งก็เลว” สาวไส้กันรัวๆ..ส่วนใครจะเลวใครจะชั่ว ก็โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม รับฟังได้ตามอัธยาศัย นะจ๊ะ!
++ ยื่นถอดถอน 136 สว.สีน้ำเงิน สกัดตั้งกรรมการองค์กรอิสระ
เมื่อช่วงเดือน พ.ค. 68 บรรดาเสียงข้างน้อยในวุฒิสภา ในนาม กลุ่มสว.พันธุ์ใหม่ นำโดย “นันทนา นันทวโรภาส” เคยล่าชื่อ สว. ต้องการให้ได้ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของ สว.ที่มีอยู่ เพื่อยื่นถอดถอน “138 สว. สีน้ำเงิน” และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งให้138 สว. หยุดการปฏิบัติหน้าที่ แต่การล่าชื่อครั้งนั้น ทำไม่สำเร็จ
ผลจากการล่าชื่อไม่สำเร็จในคราวนั้น สิ่งที่ตามมาคือ “นันทนา” ถูกยื่นเรื่องให้กรรมการจริยธรรม ตรวจสอบกรณี ที่ไปพูดถึง “สว.ขายหมู” และก็ถูกกรรมการจริยธรรม ลงมติด้วยเสียงข้างมาก เอาผิดจริยธรรมร้ายแรง เพื่อส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณา
ล่าสุด เมื่อวานนี้ (6 ส.ค.) กลุ่ม สว. เสียงข้างน้อย ที่นำโดย “นันทนา” พยายามรวบรวมรายชื่อ สว.อีกครั้ง คราวนี้ทำสำเร็จ ได้มา 21 เสียง จึงยื่นเรื่องถึงประธานวุฒิสภา เพื่อขอให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาวินิจฉัยสมาชิกภาพของ สว.ทั้ง 136 คน สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 111 (7) ประกอบมาตรา 113 ว่าด้วย สว.ต้องไม่ฝักใฝ่ หรือยยอมตนอยู่ใต้อาณัติของพรรคการเมืองใดๆ
และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้ สว. ทั้ง 136 คน หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว หรือ ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เฉพาะส่วนเกี่ยวกับการให้ความเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการองค์กรอิสระไว้ก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
เพราะจากการสืบสวน และไต่สวนของคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนชุดที่ 26 ของ กกต. และ ดีเอสไอ ที่ทำงานร่วมกัน พบว่า สว.136 คนนั้น มีส่วนสัมพันธ์ และเกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ซึ่งถูกแจ้งข้อหาในคดี “ฮั้วเลือกสว. และฟอกเงิน”
โดยเฉพาะในเดือนส.ค.นี้ จะมีกรรมการ กกต. ครบวาระ 2 คน ต้องเลือกกันใหม่ หากให้ “สว.สีน้ำเงิน” ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหา ทำการเลือก จะกลายเป็นผลประโยชน์ขัดกัน ดังนั้นต้องหยุด ไม่ให้ 136 สว. ปฏิบัติหน้าที่ตรงนี้ ป้องกันหายนะที่จะตามมา
พลันที่มีการยื่นเรื่องนี้ ก็มีนักวิชาการ อย่าง “ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม” นักกฎหมายมหาชน เห็นว่า กรณีถอดถอน 136 สว. ครั้งนี้ เข้าข่ายใช้สิทธิ์ซ้ำซ้อน เพราะเป็นข้อเท็จจริงเดียวกับ “คดีฮั้ว สว.” ที่ขณะนี้อยู่ในกระบวนการของ กกต. วินิจฉัยชี้ขาด
ดังนั้นศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจวินิจฉัย ต้องให้ กกต.ชี้ขาด แล้วส่งศาลฎีกาตามขั้นตอนกฎหมายเท่านั้น
นี่เป็นเพียงความเห็นหนึ่งเท่านั้น ซึ่งนักกฎหมายท่านอื่น อาจเห็นต่างจากนี้ก็ได้
อีกประการสำคัญคือ รายชื่อ สว.136 คน ที่ถูกร้องเรียนนั้น มีชื่อ “มงคล สุระสัจจะ” ประธานวุฒิสภา เเละ “พลเอกเกรียงไกร ศรีรักษ์” รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง รวมอยู่ด้วย
จึงมีคำถามว่า ประธานวุฒิสภา และ รองประธานวุฒิสภา จะยื่นเรื่องถอดถอนตัวเองหรือ ?
ต้องติดตามกันว่า คำร้องของ “นันทนา กับพวก” จะผ่านการพิจารณาในชั้นของประธานวุฒิสภา ไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ หรือไม่ หรือถ้าถูกยื้อ จะต้องยื้อไว้นานแค่ไหน และถ้าถูกตีตกไป จะมีเหตุผลในการอธิบาย ว่าอย่างไร