เมืองไทย 360 องศา
“พลิกโอกาสเป็นวิกฤต” และ พลิกวิกฤตให้วิกฤตยิ่งกว่า” น่าจะเป็นคำที่เหมาะสมกับ และเข้ากันได้ดีกับ “สองพ่อลูกชินวัตร” คือ นายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร โดยเฉพาะกรณีหลังถือว่าใช่เลย เพราะที่ผ่านมา คำว่า “พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส” ใช้กับเธอไม่ได้เลยสักครั้งเดียว กลายเป็นทุกอย่างยิ่งแย่ลงกว่าเดิม
อย่างไรก็ดี สิ่งที่เรียกว่า “สองพ่อลูก” คู่นี้ “จะฟื้นและกลับมายาก” ก็คือ ความเชื่อมั่น ศรัทธา จากประชาชนที่เคยมีให้นั้นลดน้อยถอยลงไปทุกวัน เรียกว่า “แตะระดับต่ำสุด” แล้ว ล่าสุดก็เพิ่งมีผลสำรวจที่ออกมาระบุว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร มีความนิยมต่ำสุดแล้ว ต่ำกว่า นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและทรัพยากรมนุษย์ เสียอีก ซึ่งที่ผ่านมา ก็ถือว่าตกต่ำมาตลอด แต่คราวนี้สะท้อนให้เห็นว่า มีแต่แย่ลงทุกวัน
สิ่งที่สังเกตได้ก็คือ หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งน.ส.แพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี หลังจากรับคำร้องกล่าวหาทำผิดมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง จนบัดนี้แทบจะไม่มีแรงกระเพื่อมใดๆ ออกมาเลย ในลักษณะที่ว่าต้องการให้เธอเข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้นำ ในภาวะบ้านเมืองมีปัญหา หรือ “ขาดผู้นำ” แต่เปล่าเลย จากวันนั้นจนถึงวันนี้ กลายเป็นว่า “แทบไม่มีตัวตน” จนค่อยๆ จางหายไป ขณะเดียวกันหลายคนยังมองว่า ยิ่งมีเธอเป็นนายกฯ ในช่วงเวลานี้ยิ่งจะทำให้เกิดปัญหา และความสับสนเกิดขึ้นยิ่งกว่าเดิม
ขณะเดียวกัน สำหรับนายทักษิณ ชินวัตร ก็เช่นเดียวกัน พิสูจน์ ได้จากการลงพื้นที่ชายแดน เช่นที่ อุบลฯ อุดรธานี ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา ไปพบชาวบ้านที่ศูนย์อพยพจากการสู้รบ แม้จะอ้างว่าอาศัยช่วงเวลาวันเกิด ไปเยี่ยมเยียนให้กำลังใจชาวบ้าน แต่ปฏิกิริยาที่ออกมากลับไม่เป็นผลบวกเท่าไหร่นัก อีกทั้งภาพที่ออกมากลับถูกสังคมชี้หน้าว่า สาเหตุความขัดแย้งจนเกิดการสู้รบครั้งนี้ มาจากความขัดแย้งระหว่างสองครอบครัว คือ “ฮุน-ชิน” จนทำให้ชาวบ้านพลอยเดือดร้อนไปด้วย
อย่างไรก็ดี สิ่งที่สังคมกำลังจับตามองกันก็คือ “สองพ่อลูกชินวัตร” จะรอดพ้นคดีที่กำลังงวดเข้ามาหรือไม่ เพราะเมื่อไล่ไทม์ไลน์กันแล้ว ทั้งสองคนก็ไม่น่าจะเกินเดือนสองเดือนนี้ ก็น่าจะรู้ผลแล้ว โดยน.ส.แพทองธาร ชินวัตร ศาลรัฐธรรมนูญได้ขยายเวลาให้ยื่นคำชี้แจงกรณีคลิปเสียงเป็นครั้งที่ 2 ภายในวันที่ 4 สิงหาคม ที่ผ่านมา ซึ่งตามกระบวนการแล้ว น่าจะไม่เกินปลายเดือนนี้ ศาลรัฐธรรมนูญก็น่าจะวินิจฉัยออกมาได้แล้ว ซึ่งมองกันไปในทางเดียวกันว่า “รอดยาก”
ขณะที่ นายทักษิณ ชินวัตร ที่กำลังถูกดำเนินคดีอาญา มาตรา 112 และ กรณี “ป่วยทิพย์” ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไต่สวนหาข้อเท็จจริงกับเรื่องการบังคับคดีให้เป็นไปตามหมายคุมขังจริงหรือไม่ ซึ่งกำลังงวดเข้ามาก็ไม่น่าจะเกินเดือนสองเดือนนี้ เช่นเดียวกัน
เมื่อวันที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีส่งคำชี้แจงเพิ่มเติมให้ศาลรัฐธรรมนูญ คดีคลิปเสียง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สนทนากับ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ภายหลังขอขยายกรอบเวลาครั้งที่ 2 ออกไปถึงวันที่ 4 ส.ค.เป็นวันสุดท้าย ว่า เอกสารต่างๆ พร้อมแล้ว
เมื่อถามว่ามั่นใจในคำชี้แจงมากน้อยแค่ไหน นพ.พรหมินทร์ กล่าวว่า ตนมีความมั่นใจในความบริสุทธิ์ใจในสถานการณ์ต่างๆ ที่จะทำให้ประเทศพ้นจากภัยวิกฤต ในเรื่องของความรุนแรง ซึ่งถือเป็นเจตนาสำคัญ
นพ.พรหมินทร์ กล่าวว่า ขณะนี้จะเห็นได้ว่าสถานการณ์ต่างๆ ที่ทหารได้ชี้แจงกับทางการทูตและที่กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงชัดเจนแล้วว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนก.พ. และสถานการณ์ต่างๆ ค่อยๆคลี่คลาย แต่เมื่อมีความพยายามที่จะให้เกิดความรุนแรง ในฐานะที่นายกฯเป็นผู้นำ จะต้องมีการหารือกับฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายทหาร กองทัพอย่างรอบคอบ อย่างที่เราได้ออกมาตรการต่างๆ ออกไปแล้ว ซึ่งการดำเนินการครั้งนี้ จะเห็นว่ามีการโทรศัพท์หารือกับผู้ที่ไม่ได้เป็นผู้แทนทางการ เพื่อหาวิธีการที่จะขจัดความรุนแรงและความสูญเสียที่เกิดจากการปะทะให้ผ่านพ้นไปได้ในที่สุด ก็ยังสามารถยืดระยะเวลาได้ช่วงหนึ่ง และในที่สุดก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ อธิปไตยของเราถูกละเมิด ทางทหารเราต้องดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อรักษาอธิปไตย และผืนแผ่นดินไทยอย่างสมเกียรติ และหลังจากนั้นเราก็พยายามที่จะยุติเรื่องของการหยุดยิงไม่ให้เกิดความเดือดร้อนกับประชาชนหรือให้เดือดร้อนน้อยที่สุด แต่เราต้องรักษาอธิปไตยและผืนแผ่นดินไทยเอาไว้ให้ได้โดยการหารืออย่างใกล้ชิดกับทางทหาร
“ดังนั้น ผมเห็นว่าเจตนาของนายกฯ เป็นสำคัญที่จะพยายามดำเนินเรื่องนี้ในฐานะผู้นำประเทศ ขณะนี้เนื่องจากทางศาลบอกให้นายกฯพักการปฏิบัติหน้าที่ นายกฯ ก็เคารพศาล ก็ต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่อย่างดี เพื่อรอคำวินิจฉัยของศาล ก็หวังว่าคำตัดสินต่างๆ จะดำเนินการตามเจตนารมณ์และความมุ่งมั่น ในฐานะผู้นำประเทศที่จะนำประเทศไปสู่ความสันติโดยเร็ว” นพ.พรหมินทร์ ระบุ
เมื่อถามว่า จากสิ่งที่เราชี้แจงไปหากดูตามข้อกฎหมายเข้าข่ายผิดจริยธรรม หรือไม่ นพ.พรหมินทร์ กล่าวว่า คิดว่าเรื่องนี้ ข้อเท็จจริงบวกกับสิ่งแวดล้อมต่างๆ รวมถึงข้อกฎหมายต่างๆ ได้ชี้แจงอย่างรอบคอบ คำชี้แจงของนายกฯ ระบุในการแก้ข้อกล่าวหาต่างๆ ที่พูดถึงเรื่องจริยธรรมอย่างชัดเจน มีการอ้างถึงตัวบทกฎหมายไว้ด้วย ดังนั้น ต้องแล้วแต่ศาลว่าจะวินิจฉัยอย่างไร เมื่อถามว่า ได้เตรียมมาตรการรองรับหรือไม่หากผลการตัดสินออกมาไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังไว้ นพ.พรหมินทร์ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่ไม่เป็นไปอย่างที่คาดคือ ขณะนี้เราคาดการณ์ว่า เจตนารมณ์ของเราถูกต้อง ก็หวังว่าจะได้รับการพิจารณาอย่างเป็นธรรม ดังนั้นก็รอคำตัดสินของศาล
เมื่อถามว่า มีข่าวว่านายกฯ อาจตัดสินใจลาออก จริงหรือไม่ นพ.พรหมินทร์ กล่าวว่า ยืนยันว่ายังไม่มี วันนี้ไม่มี เพราะเราดำเนินการตามตัวบทกฎหมาย และยืนยันความถูกต้องของเรา เมื่อถามถึงในส่วนของคดีอาญาที่อัยการจะมีการเชิญนายกฯไปด้วย นพ.พรหมินทร์ กล่าวว่า ก็เดี๋ยวว่ากันไปตามขั้นตอน ขณะนี้ถ้ามีตรงไหน ถ้ามีการร้องจริง ก็คงต้องไปแก้ข้อกล่าวหาตามตัวบทกฎหมาย แต่ยืนยันเจตนารมณ์และวิธีการต่างๆไม่ได้มีอะไรผิดเลย
ต่อมา เมื่อวันที่ 5 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมครม.ครั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.วัฒนธรรม ลาประชุม หลังส่งคำชี้แจงกรณีคลิปเสียงสนทนา ต่อศาลรัฐธรรมนูญ ขณะที่ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิเสธตอบคำถามสื่อ ถึงเหตุผลที่นายกฯ ลาประชุม ครม. โดยแค่หัวเราะในลำคอเท่านั้น ส่วนทีมงานใกล้ชิด ต่างปฏิเสธว่า ไม่ทราบถึงการลาประชุม ครม.
ดังนั้น หากสรุปจากปัจจัยรอบด้านแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคดีที่งวดเข้ามา จนเรียกได้ว่าเข้าสู่ระยะสุดท้ายแล้ว ทั้งตัว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่ถูกร้องความผิดด้านจริยธรรมร้ายแรง ที่คาดว่าน่าจะมีการวินิจฉัยภายในปลายเดือนนี้ ขณะที่นายทักษิณ ที่ต้องหนักใจก็คือ เรื่องการไต่สวนคดี “ป่วยทิพย์” ที่ใกล้สรุปเช่นกัน แต่สำหรับสองพ่อลูก มีข้อน่าสังเกตก็คือ หากพวกเขาไม่มี “ศรัทธา” หรือความไว้วางใจเป็นแบ็กอัปอยู่ข้างหลัง เหมือนที่ผ่านมาแล้ว นั่นก็หมายความว่า ย่อมตกอยู่ในภาวะวิกฤต “ขาลอย” เหมือนกับในตอนนี้ แทบจะไม่มี “นายแบก” หลงเหลือให้เห็นแล้ว !!