เมืองไทย 360 องศา
ก่อนงาน “ดินเนอร์” ของพรรคร่วมรัฐบาลเริ่มขึ้นในวันที่ 22 กรกฎาคม มีเสียงวิจารณ์และมีคำถามกันอีกว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะไปร่วมงานด้วยหรือไม่ ขณะเดียวกันก็มีเสียงพูดกันว่า การรับประทานอาหารร่วมกันในครั้งนี้ อาจเป็น “มื้อสุดท้าย” ก็ได้ สำหรับรัฐบาลที่“เปราะบาง”เต็มที
สำหรับ นายทักษิณ ชินวัตร เวลานี้จะได้เห็นการเคลื่อนไหวและแสดงบทบาทอย่างชัดเจนในทุกเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในบทบาทฐานะนายกรัฐมนตรี ซึ่งหลายคนก็ตั้งคำถามว่า เขาทำในฐานะอะไร ที่มีกฎหมายรองรับหรือไม่ และมีความเสี่ยงต่อการที่จะถูกร้องเรียนได้ไม่หยุดหย่อน
อย่างไรก็ดี กรณีของ นายทักษิณ นาทีนี้ถือว่า เขา“ไม่แคร์”อะไรแล้ว ลักษณะเหมือนกับว่า หาก“ยังนิ่งเฉย” หรือ กบดานเงียบอยู่ต่อไป ก็จะเหมือนกับว่า “รอวันตาย” เพราะเวลานี้สำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคดีความหลายคดีล้วนรุมเร้าเข้ามารัดตัวเต็มทีแล้ว
อีกทั้งเมื่อพิจารณาถึงความนิยมที่ถดถอยแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อย่างที่รู้กันกรณี “ขายชาติ” ตามที่สังคมกล่าวหาเวลานี้ จากการ “ด้อยค่า” ดิสเครดิตจาก นายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ที่ส่งเสียงตอบโต้ออกมาเป็นรายวัน จริง ไม่จริงไม่รู้ รู้แต่ว่าสำหรับคนไทยแล้ว ย่อมมีคนเชื่อจำนวนมาก
สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ความนิยมถดถอยลงมาก สะท้อนได้จากผลสำรวจก่อนหน้านี้ที่ระบุถึงน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ที่เวลานี้กำลังถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จาก “คลิปสนทนาฉาว” เรียกได้ว่าความนิยม “ตกรูด” เหลือแค่ 9 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่า นั่นคือ “ลูกสาว” ก็ย่อมสะท้อนกระทบโดยตรงมาถึงพ่อเต็มๆ เพราะเขาเป็นผู้สนับสนุนผลักดันทุกอย่าง จนอาจพูดได้ว่า “เป็นเจ้าของ” จากฉายาที่ตัวเองตั้งขึ้นว่า “เสือกทุกเรื่อง”
แม้ว่าที่ผ่านมาเขาจะใช้วิธี “กบดาน” เพื่อหวังว่าเมื่อเวลาผ่านไป เรื่องราวจะค่อยๆ ซาลง จนเงียบไปในที่สุด แต่กลายเป็นว่า “ผลกระทบตามมา สุดคาดคิด” เพราะไหนจะสถานการณ์ยืดเยื้อ มีการเปิดโปงถล่มจากฝ่ายกัมพูชา เป็นรายวัน โดยเฉพาะจาก นายฮุน เซน แบบว่าค่อยๆ ปล่อยออกมา และมันก็ไม่ต่างจาก “ใบเสร็จที่เป็นคำพูด” จากปากของคนเคยสนิทสนม ทำธุรกิจร่วมกันมานานหลายสิบปี และข้อมูลแทบทุกเรื่องที่ได้ยินมา ก็ล้วนเป็นความจริงที่เคยรับรู้มานานแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่มีใครออกมาพูดซ้ำ เหมือนกับที่ นายฮุนเซน พูดออกมา
ดังนั้น หากสรุปแบบรวบยอดในตอนนี้ก็ต้องบอกว่า ในด้านความนิยมถือว่าทั้งครอบครัวชินวัตร ทั้งตัวนายทักษิณ รวมไปถึงน.ส.แพทองธาร ชินวัตร มีความนิยมถดถอยลงไปมากแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ประเภทที่เรียกว่า “รูด” ลงไปมากทีเดียว
และยิ่งในสถานะที่ “ลูกสาว” คือ น.ส.แพททองธาร ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี มันก็ยิ่งหนักหนาสาหัสเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะแม้ว่าที่ผ่านมาเขา “จะเสือกทุกเรื่อง” ก็ตาม แต่งานบริหารหลายอย่าง ก็ต้องมีการเชื่อมโยงและนั่งหัวโต๊ะสั่งการ
แต่เวลานี้ เมื่อน.ส.แพทองธาร ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีได้ ทุกอย่างก็ไม่ต่างจาก “สุญญากาศ” ทุกอย่างแทบจะหยุดนิ่ง และที่สำคัญก็คือ สภาพของรัฐบาลที่ถูกเปรียบเทียบทำนองว่า ไม่ต่างจาก “เป็ดง่อย” ทำอะไรไม่ได้ บรรดาข้าราชการที่ล้วนเป็น “นกรู้” จึง “เกียร์ว่าง” กันเป็นแถว จนทำให้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาการนายกรัฐมนตรี ต้องออกมาขู่โยกย้ายทันที
เมื่อวกมาที่ นายทักษิณ ที่ถูกมองว่าเป็นการ “ดิ้นรนครั้งสุดท้าย” ก็ว่าได้ เพราะมีการทำทุกทาง ทั้งการแสดงความเห็นทางเศรษฐกิจ การเมือง ทำแม้กระทั่งเดินสายไปงานบุญตามวัด แต่ก็ถูกจับได้ว่า นี่คือการ “โชว์พาว” จงใจแสดงให้เห็นว่า เขายังอยู่ และยังคุมเกมอยู่ เหมือนกับการร่วมงาน “ดินเนอร์” ในวันที่ 22 กรกฎาคม ก็ได้รับการยืนยันแล้วว่า “ทักษิณ” จะได้รับเชิญ จากพรรคเพื่อไทย ให้ไปร่วมด้วย
เหมือนกับที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ รายการประเทศไทยต้องมาก่อน ที่อ่านเกมขาด โดยเชื่อว่า ทักษิณ ชินวัตร ตระเวนออกงาน ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และทำบุญทอดผ้าป่า เททองตามวัดต่างๆ นั้น เป็นการสะท้อนถึงอาการลนลาน กับการตัดสินของศาลฎีกานักการเมือง กรณีชั้น 14 ในเดือนสิงหาคมนี้
อีกทั้งประเมินว่า การเมืองในเดือนสิงหาคม จะร้อนแรงด้วยปัจจัยคำวินิจฉัยของ ศาล รธน. กรณียื่นถอนถอด “อุ๊งอิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร” พ้นตำแหน่งนายกฯ ซึ่งคาดว่าคงรู้ผล วันที่ 13 สิงหาคม แต่ที่สำคัญการไต่สวนคดีของทักษิณ อาจมีคำสั่งก่อนคดีของ อุ๊งอิ๊งค์ ดังนั้น ทักษิณ ย่อมวิตกกับการติดคุกเช่นกัน
แม้ทักษิณ จะตอบคำถาม 3 บก.เนชั่นว่า กรณีชั้น 14 เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ ไม่เกี่ยวกับตัวเอง แต่ถ้าเจ้าหน้าที่ทำความผิด เพื่อไม่ให้ทักษิณรับโทษอาญาตามคำพิพากษาแล้ว ทักษิณ คงกลับสู่สถานะเดิม คือต้องโทษอาญา กลับไปติดคุกที่เรือนจำ
ส่วนกรณี คดี ม.112 ของทักษิณ นั้น นายจตุพร กล่าวว่า ศาลอาญานัดพิจารณาคดีในวันที่ 22 สิงหาคม อย่างไรก็ตาม ถ้าคดีชั้น 14 ตัดสินก่อนคดี ม.112 จึงน่าสงสัยเช่นกันว่า ทักษิณ จะอยู่รอฟังการตัดสินคดี ม.112 หรือไม่
ดังนั้น หากมองสถานการณ์กันแบบเข้าใจ ก็ต้องบอกว่า นายทักษิณ ชินวัตร จำเป็นต้องดิ้นรนอย่างหนัก เพื่อหาทาง “รักษาอำนาจ” เอาไว้ให้ได้นานที่สุด และที่สำคัญ ต้องจัดวางบุคลากรที่ไว้ใจได้ โดยเฉพาะในกระทรวงมหาดไทย เพื่อรองรับการเลือกตั้ง ที่เชื่อว่าจะต้องเกิดขึ้นในอีกไม่นานข้างหน้า ส่วนจะเป็นปลายปี หรือต้นปีหน้า ก็ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่ขณะเดียวกัน ในสถานการณ์ความเป็นจริงในเวลานี้ สำหรับเขาแล้วมันไม่ต่างจากการ “ดิ้นรน” ครั้งสุดท้ายก่อนถึงวันพิพากษา และ ก็อาจเป็นดินเนอร์ครั้งสุดท้ายสำหรับพรรคร่วมรัฐบาลเช่นเดียวกัน!!