เมืองไทย 360 องศา
นาทีนี้ หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็ต้องบอกว่า ทั้งครอบครัว “ชินวัตร” ถือว่าอยู่ในช่วง “ขาลง” แบบ “รูดลง” กันเลยทีเดียว เพราะไม่ว่าจะเป็น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เวลานี้ก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้ยังเหลือตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ยื้อกันต่อไป ขณะที่นายทักษิณ ชินวัตร ก็พลอยสูญเสียเครดิตจนแทบไม่เหลืออะไรแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพรรคเพื่อไทย และรัฐบาลที่พลอยปั่นป่วนไปหมด
แน่นอนว่า ความย่ำแย่ดังกล่าวล้วนมาจาก “ความผิดคาด” นั่นคือ “ความล้มเหลว” ในด้านการบริหารของ “ลูกสาว” ตัวเอง คือน.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่ผลักดันขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี แม้ว่ามีองค์ประกอบด้านอื่นครบครัน แต่เมื่อเธอถูกมองว่า “ไร้ความสามารถ” ยิ่งนานวันยิ่งแสดงให้เห็นออกมาอย่างชัดเจน ทุกอย่างจึงดำดิ่งอย่างคาดไม่ถึง และกรณี “คลิปลับ” การสนทนากับ นายฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา กลายเป็น “ตัวเร่ง” ให้เห็นถึงความล้มเหลวอย่างหมดเปลือก
ส่วนเรื่องอื่นๆ เช่น กรณีศาลรัฐธรรมนูญสั่ง น.ส.แพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี และความเสี่ยงจากการที่นายทักษิณ ชินวัตร กำลังถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไต่สวนกรณี “ชั้น14” เชื่อมโยงไปถึงการไม่บังคับคุมขังตามคำพิพากษา และกรณีคดีมาตรา 112 ทุกอย่างถือว่าประดังเข้ามาแบบประจวบเหมาะพอดี
นั่นคือภาพรวมๆ ที่พวกเขากำลังประสบอยู่ในเวลานี้ แบบขาลงจนตั้งรับแทบไม่ทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเกิดกรณีขัดแย้ง ด้านชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กำลังบานปลายกลายเป็นความขัดแย้งในทุกเรื่องเวลานี้ อย่างไรก็ดี จากกรณีดังกล่าวทำให้เหมือนกับการประจานพวกเขาในด้าน “ภาพลบ” และลดทอนเครดิตแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ ผลการสำรวจที่ออกมาปรากฏว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร มีความนิยมลดเหลือแค่ร้อยละ 9 เท่านั้นเอง จากเดิมที่เคยอยู่ในราวกว่าร้อยละ 30 เรียกว่า “รูดจมดิ่ง” แบบไม่เคยมีมาก่อน
ทำให้เวลานี้ทั้ง “ครอบครัวชินวัตร” ต้องหาทางดิ้นรนอย่างหนัก เพื่อประคองสถานการณ์เพื่อให้รักษาสภาพเดิมให้มากที่สุด หลังจากที่รัฐบาลผสมที่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ กำลังอยู่ในภาวะไร้เสถียรภาพอย่างหนักเช่นเดียวกัน เนื่องจากมีเสียง “ปริ่มน้ำ” โดยเห็นได้ชัดจาก “สภาล่ม” ตั้งแต่วันแรกของการเปิดประชุมสภา เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี สำหรับ นายทักษิณ ชินวัตร แล้วเชื่อว่าเขาคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ อย่างที่บอก เขาต้องหาทางฟื้นเครดิตให้กลับมาอีกครั้ง แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายก็ตาม และเพื่อความอยู่รอดของพวกเขา “ทั้งเครือ” ย่อมอยู่ที่การนำทางของ นายทักษิณ เป็นหลัก
ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยได้แถลงเปิดเผยกำหนดการของกระทรวงวัฒนธรรม ที่อยู่ภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เกี่ยวกับงาน “ซอฟต์เพาเวอร์” โดยมีการแสดงวิสัยทัศน์ของ 3 นายกรัฐมนตรี มีรายละเอียด ดังนี้
นายดนุพร ปุณณกันต์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยร่วมกับสำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ (THACCA) จัดงาน Soft Power ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “SPLASH - Soft Power Forum 2025” ระหว่างวันที่ 8-11 ก.ค.68 ที่ฮอลล์ 1-4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ภายใต้แนวคิด “โอกาสประเทศไทย ในอุตสาหกรรมวัฒนธรรมสร้างสรรค์” ที่เปรียบเสมือนสายน้ำแห่งโอกาสที่กำลังหล่อเลี้ยงทุนวัฒนธรรมไทย ให้เติบโตสู่เศรษฐกิจใหม่อย่างยั่งยืน ผ่านการผนึกกำลังของ 14 อุตสาหกรรมซอฟต์เพาเวอร์ ต่อยอดสู่ตลาดโลกอย่างเป็นรูปธรรม
โฆษกพรรคเพื่อไทย อ้างว่า ในงานดังกล่าว มีการรวบรวมผู้รู้จริงแนวหน้าจากไทย และต่างประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและแบ่งปันประสบการณ์สร้างมูลค่าทางวัฒนธรรมให้ทรงพลัง มาร่วมขึ้นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็น โดยวันที่ 8 ก.ค. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯและรมว. วัฒนธรรม จะกล่าวเปิดงาน
นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จะถ่ายทอดวิสัยทัศน์ในหัวข้อ “Crafting the Future: From OTOP to ThaiWORKS and Beyond” และวันที่ 10 ก.ค. และ นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ เข้าร่วมด้วย
แน่นอนว่า มองเผินๆเหมือนกับการแสดงวิสัยทัศน์ด้านวัฒนธรรมของอดีตนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม คือน.ส.แพทองธาร แต่สำหรับในทางการเมืองแล้ว นี่คือความพยายามในการ “รื้อฟื้นเครดิต” ของพวกเขาให้กลับมาอีกครั้ง ซึ่งจะเรียกว่านี่คือ “การดิ้นรน” อีกเฮือก
อย่างไรก็ดี เวลานี้เครดิตที่เคยมีอยู่ ถือว่าถูกทำลายจนแทบจะไม่มีเหลืออีกแล้ว สิ่งสำคัญที่ทำให้พวกเขากำลังตกอยู่ในสภาพถดถอยอย่างที่เห็นก็คือ ผลงานของรัฐบาลทั้งจากยุคของ นายเศรษฐา ทวีสิน จนมาถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นเวลากว่าสองปี ที่ “ล้มเหลว ไร้ผลงาน” เพราะแม้แต่นโยบายสำคัญแบบ “เรือธง” ที่เคยหาเสียเอาไว้ ก็ทำไม่ได้สักเรื่อง ค่าแรงวันละ 600 บาท เงินเดือนปริญญาตรีเดือนละ 25,000 และ นโยบาย “แจกเงินหมื่นดิจิทัล”
แต่ที่สำคัญที่สุด และกลายเป็นผลกระทบมากที่สุดก็คือ เรื่อง “ปากท้อง” ของชาวบ้าน ที่กำลังถูกวิจารณ์อย่างหนัก เพราะที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยประกาศว่า “คิดใหญ่ทำเป็น” เรียกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ทำให้เชื่อว่าเมื่อพวกเขาเข้ามาเป็นรัฐบาล จะทำให้คนไทยอยู่ดีกินดีทันตาเห็น “เพิ่มเงินในกระเป๋า” คนไทยทุกคน ซึ่งชาวบ้านส่วนใหญ่ก็เชื่ออย่างนั้น เพราะหลับตาเห็นภาพของนายทักษิณ ชินวัตร ยืนอยู่ข้างหลัง เหมือนกับว่าในเวลานั้น เมืองไทย “มีนายกสองคน” นั่นคือ ลูกเป็นนายกรัฐมนตรีตามกฎหมาย ขณะที่พ่อ มักอ้างถึงความเป็นมืออาชีพในด้านการบริหารทุกด้าน เข้ามาช่วยเป็น “แบ็กอัป” อยู่ข้างหลัง ทำให้คนไทยได้ประโยชน์สองต่อ ซึ่งฟันกันอย่างนั้นในช่วงแรกที่พรรคเพื่อไทบตั้งรัฐบาล
แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ความจริงก็ปรากฏออกมา แรกๆ อาจจะโทษว่าเป็นเพราะ “พวกเผด็จการ” สะสมปัญหาเอาไว้เยอะจนต้องตามแก้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานนับปี ประกอบกับได้เห็นวิธีการบริหารงานของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่ทำให้แทบไม่มีความหวัง ได้เห็นถึงความไร้ความสามารถ จนเชื่อว่าไม่สามารถรับมือกับสารพัดปัญหาที่ประดังเข้ามา ทั้งในและนอกประเทศได้เลย มันก็ยิ่งไปกันใหญ่ ซึ่งพิสูจน์ได้จากผลสำรวจที่สะท้อนความจริงออกมาดังกล่าวข้างต้นนั่นแหละ
ดังนั้น การจัดงานของกระทรวงวัฒนธรรม ภายใต้การนำของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร มองในมุมการบริหารเหมือนกับการ “อัปเกรด” ให้เป็นกระทรวง “เกรดเอ” เรียกร้องความสนใจ แต่ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่ง เมื่อได้เห็นรายชื่อพร้อมกันทั้ง นายทักษิณ ชินวัตร นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นการรวมอดีตนายกฯ และนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน เป็น “สามนายกฯ” มันก็เหมือนกับการ รื้อฟื้นเครดิตและความศรัทธาให้กลับมาอีกครั้ง แต่เมื่อพิจารณาจากบรรยากาศ และความเป็นจริงแล้ว น่าจะเป็นเรื่องยาก!!