xs
xsm
sm
md
lg

เสียงข้างมากรัฐสภาส่งศาลตีความแก้ รธน. ปชน.ติงแค่เทคนิค กม.ยันแก้ ม.256 ทันที หวั่นยื้อไม่ทันเลือกตั้ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



มติรัฐสภาเสียงข้างมาก ส่งศาล รธน.ตีความแก้ รธน. “หมอเปรม” ชี้ อย่าผูกแก้ รธน.กับเลือกตั้ง เหตุ รบ.อาจอยู่ไม่ครบเทอม ปชน.จี้ นายกฯ แสดงภาวะผู้นำแก้ รธน. ชี้ ส่งศาลแค่เคลียร์เทคนิค กม.ไม่การันตี สส.- สว.หนุน ชี้ขัดแย้ง-ล้มประชุม ไม่ใช่ปัญหาต้องตีความ ย้ำ แก้ ม.256 ทันที หวั่นยื้อทำ รธน.ใหม่ ไม่ทันเลือกตั้ง “ชลน่าน” มองเป็นทางออก ต้องทำให้สุด ไม่สร้างกระแสต้ม ปชช.

วันนี้ (17 มี.ค.) ที่รัฐสภา มีการประชุมร่วมรัฐสภา โดยมี นายมงคล สุระสัจจะ รองประธานรัฐสภา เป็นประธานการประชุมได้พิจารณาญัตติด่วน เรื่องขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ซึ่งเสนอโดย นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว. และญัตติทำนองเดียวกันที่เสนอโดย นายวิสุทธิ์ ไชยรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดต่อประเด็นหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาต่อการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 ว่าด้วยยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก่อนการออกเสียงประชามติถามความต้องการของประชาชนต่อการได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้หรือไม่

นพ.เปรมศักดิ์ อภิปรายตอนหนึ่งว่า ตนขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า รัฐสภาจะลงมติเห็นชอบต่อการเพิ่มหมวดใหม่ว่าด้วยจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก่อนการออกเสียงประชามติของประชาชนได้หรือไม่ และหากรัฐสภามีอำนาจแล้ว การออกเสียงประชามตินั้นจะทำภายหลังจากที่มีการแก้ไขและพร้อมกับที่ให้ประชาชนลงประชามติเห็นชอบได้หรือไม่ ทั้งนี้ ที่มีคนบอกว่าการเสนอศาลรัฐธรรมนูญอาจเป็นการประวิงเวลาและไม่ทันต่อการเลือกตั้ง สส. ปี 2570 ทั้งนี้ การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่กระทบต่อการเลือกตั้ง สส. และการเลือกตั้งย่อมเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้ จะครบเทอมหรือไมไม่มีใครทราบ

“การกำหนดเวลาของการแก้ไข ไม่สุขุมรอบคอบ เพราะการแก้ไขรรัฐธรมนุญเป็นงานใหญ่ ต้องอาศัยการหลอมรวมความคิดเปรียบประชาธิปไตยเป็นประชาธิปไตยไม่ใช่รถไฟความเร็วสูง ที่ต้องไปถึงเป้าหมายอย่างรวดเร็ว แต่เป็นรถไฟธรรมดาที่ต้องทยอยส่งผู้โดยสารให้ถึงบ้านปลอดภัย การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่บอว่าต้องเร่งรัดเร่งรีบ แต่ต้องแก้ไขให้เป็นประโยชน์ของประชานไม่ใช่สนองอำนาจการเมือง นอกจากนั้นต้องรักษาเอกลักษณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง รวมถึงคำนึงถึงหลักการที่ประชาชนยอมรับ และไม่เตะหมวด 1 หมวด 2” นพ.เปรมศักดิ์ กล่าว

จากนั้นสมาชิกรัฐสภาได้อภิปรายแสดงความเห็นทั้งสนับสนุนญัตติและไม่สนับสนุน เพราะมองว่าเป็นการประวิงเวลาของการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน

น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว.พันธุ์ใหม่ อภิปรายตอนหนึ่งว่า จะส่งญัตติถามศาลรัฐธรรมนูญอีกทำไม หรือจะให้ศาล เปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยอีก ทั้งนี้ ไอน์ สไตน์ เคยกล่าวไว้ว่า มีแต่คนวิกลจริตที่ทำแต่สิ่งเดิมซ้ำๆ แล้วหวังผลที่แตกต่าง ดังนั้นอาจใช้เวลาอีกเดือนหรือหลายเดือนเพื่อรับคำตอบเดิมเหมือนปีที่แล้ว แบบนี้เป็นการยืดเยื้อแก้รัฐธรรมนูญ เหมือนกับการยื้อพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติทำให้ไมทันต่อการเลือกตั้ง อบจ. ที่ผ่านมา

“คนที่จุดประเด็นประชามมติ 3 ครั้ง คือ ใช้กลยุทธ์เตะถ่วง ทั้งนี้ เราอยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยภายใต้การกำกับของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ทำอะไรต้องถามศาลรัฐธรรมนูญ ถามจนพร่ำพรื่อ ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์หรือไม่ ยังต้องเสนอให้ศาลวินิจฉัย เกินขอบเขตหรือไม่ ทำแบบนี้จะเหลือความเป็นประชาธิปไตยที่ไหน ทั้งนี้ ขอคัดค้านญัตติด่วน และขอให้เริ่มพิจารณาแก้รัฐธรรมนูญแบบข้ามขั้น คือ จะทำประชามติครั้งแรก โดยถามคำถามอะไร มีคำถามพ่วงหรือไม่และมีการร่างรัฐธรมนูญอย่างไรให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุดเพื่อให้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนที่แท้ทรู” น.ส.นันทนา อภิปราย

นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายว่า มีสมาชิกบางคนไม่ได้สนใจ หรือมีข้อกังวลด้านข้อกฎหมาย แต่ไม่อยากแก้รัฐธรรมมนูญ จึงพยายามค้นหาข้อกังวลทางกฎหมายเพื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญ หวังชะลอการจัดทำรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ปัญหาทางเทคนิคทำให้ประชาชนลืมประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อปราบโกงปลดล็อกท้องถิ่น และแก้ปัญหาให้ประชาชน ทั้งนี้สิ่งที่ไม่ประสบความสำเร็จต่อการจัดทำรัฐธรรมนูญไม่ใช่ข้อกังวลทางการกฎหมาย แต่คือเจตจำนงของัรฐบาลที่การส่งศาลรัฐธรรมนูญไม่สามรถแก้ไขให้ได้

นายพริษฐ์ อภิปรายด้วยว่า การส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ศาลอาจจะไม่รับไว้พิจารณาเหมือนที่เคยเกิดขึ้น หรือรับไว้พิจารณา แต่ไม่มีคำวินิจฉัยที่ชัดเจนหรือไม่วินิจฉัยเพิ่มเติมจากปี2564 จะทำให้รัฐสภากลับมาสู่จุดเดิม ดังนั้นสิ่งที่จะทำได้คือต้องอาศัยเจตจำนงของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ต้องโน้มน้าวสมาชิกรัฐสภาซีกรัฐบาล ซึ่งภารกิจดังกล่าวไม่มีศาลรัฐธรรมนูญช่วยได้ เพราะต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้เดินหน้าได้ ไม่มีหลักประกันใดว่าสส.และสว.กลุ่มที่หัวใจเดียวกันจะร่วมลงมติสนับสนุนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ

“การส่งไปศาลไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหา เพราะอุปสรรคไม่อยู่ที่ขัอกฎหมาย แต่คือเจตจำนงของรัฐบาล ดังนั้น ทางออกอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล สิ่งที่รัฐสภาควรทำคือส่งสัญญาณไปยังทำเนียบ เพื่อให้ น.ส.แพทองธาร แสดงภาวะผู้นำ และเจ้าภาพในการสร้างเอกภาพระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลผลักดันนโยบายเรือธง ต่อการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้สำเร็จ” นายพริษฐ์ อภิปราย

ด้าน นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายว่า หากมีความมุ่งมั่นตั้งใจแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ประชาชน ไม่ต้องลงมติส่งศาลรัฐธรรมนูญ และให้เดินหน้าแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ให้ทันก่อนปิดสมัยประชุม และตั้งกมธ.วิสามัญยกร่างแก้ไขทันที หากในอนาคตมีผู้ไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และมีคำวินิจฉัยว่าต้องทำประชามติ 3 ครั้งแค่รีเซ็ตกระบวนการทำประชามติใหม่ ซึ่งไม่มีอะไรจะเสีย ยกเว้นต้นทุนของตัวเองที่จะเสียไป ตามที่มีคนอภิปรายว่าจะมีคดีเข้าตัวเองหากมีการฟ้องร้องสมาชิกรัฐสภาในภายหลัง

ขณะที่ นายสุทิน คลังแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า กรณีส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความเชื่อว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือน ซึ่งถือว่าดีกว่าเดินไปแล้วให้ตกไปตายในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ มีคนบอกว่าเป็นความพยายามเตะถ่วง ตนขอเลือกเตะถ่วงเพื่อไม่ให้แก้รัฐธรรมนูญไม่ได้ อย่างไรก็ดี ตนและพรรคเพื่อไทยไม่มีเจตนาเตะถ่วง แต่ต้องการให้ผ่าทางตันให้ได้ อย่างไรก็ดีไม่มีเจตนายื่นมือให้ศาลรัฐธรรมนูญขยาขอบเขต โดยยืนยันความเข้มแข็งของอำนาจประชาชน ทั้งนี้ คนในสภา มี 2 กลุ่ม คือ คนที่อยู่โลกอุดมการณ์ กับโลกความเป็นจริง คนที่อยูในโลกอุดมการณ์ไม่อยากให้มีรัฐธรรมนูญ ไม่มียุบพรรค ไม่มีการปลดนายกฯ เพราะทำกับข้าวออกทีวี แต่ข้อเท็จจริงในโลกความจริงฝืนไม่ได้

“เรื่องรัฐธรรนูญ หากโลกความจริง อำนาจประชาชนเป็นของจริงแก้เสร็จแล้ว แต่ขณะนี้ต้องยอมรับให้ศาลชี้ให้ชัด ถ้าเสี่ยงเดินแบบผ้ามัดตาอาจตกบ่อตาย ดังนั้น จึงยอมเสียเวลา และเมื่อคำวินิจฉัยออกมาแล้ว ผมเชื่อว่าจะได้วิธีแก้รัฐธรรมนูญที่ถูกต้อง หลายคนอ้างไอน์สไตน์ว่า คนโง่ที่ทำวิธีการเดิมๆ แล้วจะได้คำตอบใหม่ แต่พูด หรือคิดไม่หมด ตีความมแบบนั้นไม่ได้ หากไอน์สไตน์ยังมีชีวิตจะถามว่าทำวิธีเดิมๆ ในบริบทใหม่ อาจได้คำตอบใหม่ดังนั้นตนมั่นใจและภูมิใจสนับสนุนให้เสนอญัตติสู่ศาลตีความเพื่อให้หายสงสัย เมื่อมีความชัดเจนแล้วจะเดินหน้าได้” นายสุทิน อภิปราย

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย อภิปรายสนับสนุนการส่งญัตติ ตอนหนึ่งว่ามีความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตลอด ทั้งยื่นแก้ทั้งฉบับและรายมาตรา ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าระบบรัฐสภาเป็นเสียงข้างมากต้องยอมรับ ขณะที่เสียงข้างน้อยต้องตรวจสอบ ทักท้วง ปัจจุบันเสียงข้างมากเป็นอย่างไรต้องเคารพ ทั้งนี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ต้องการทำให้สำเร็จ ต้องทำให้ทุกฝ่ายเห็นร่วมที่ตรงกัน เพราะมาตรา 256 เป็นกลไกที่ทำให้แก้รัฐธรรมนูญไม่ได้ หากไม่มีความเห็นร่วมกัน ปี2570 ไม่สามารถแก้รัฐธรรมนูญได้

“การพิจารณาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญทุกคนมีสิทธิตีความ การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยการร่างแก้ไขเพิ่มเติมมีหมวด 15/1 ว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทำให้ตีความเป็นการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ แต่ผมตีความว่าหากรัฐสภาต้องการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือ รัฐสภามีมติเห็นชอบให้นับหนึ่งได้ และการแก้รัฐธรรมนูญต้องทำประชามติ จึงสามารถถามคำถามไปพร้อมกันได้ แต่การยึดว่าเป็นความเห็นถูกไม่ได้เพราะมีความเห็นต่าง จึงต้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ หากดื้อส่งรัฐธรรมนูญให้รัฐสภาพิจารณาแต่ถูกตีตก ต้องรอยื่นใหม่สมัยประชุมถัดไป แต่หากทำโดยละมุนละม่อนให้ศาลรัฐธรรมนูญ หากคำวินิจฉัยเป็นประโยชน์จะทำให้จบได้ หากต้องการรัฐธรรมนูญต้องเอารัฐธรรมนูญ การเมืองยุคนี้เป็นการเมืองกระแส แต่การสร้างกระแสไม่จริง คือ การทำร้ายประชาชน และต้มประชาชนแน่นอน ดังนั้นต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ” นพ.ชลน่านอภิปราย

หลังจากสมาชิกอภิปรายกันกว้างขวาง นายสุทิน อภิปรายปิดญัตติตอนหนึ่งว่าการยื่นญัตติดังกล่าวคาดว่าจะใช้เวลา 1 เดือนเพื่อรอความชัดเจน ซึ่งไม่ถึงขั้นเตะถ่วง แต่สะดุดเพื่อให้ได้สิ่งที่ดี ส่วนที่กล่าวหาว่ากลัวศาล ไม่กล้าหาญ สยบยอมกับอำนาจที่ไม่ใช่อำนาจของประชาชน ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่มีนานใช้ความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยว มาทีหลังก็โดนเหมือนกัน คำพระบอกว่า ความกล้าหาญควรเสมอด้วยปัญญา ปัญญาควรเสมอด้วยสติ

นายสุทิน อภิปรายว่า ปัญหาของการแก้รัฐธรรมนูญ คือ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ หากเดินหน้าแก้ไขมาตรา 256 ใช้สติปัญญาคิดว่าจะมีคนยื่นตีความหรือไม่ หากมีคนยื่นตีความจะมีปัญหา หากมีปัญญาพอ แก้ปัญหาให้จบ เดินวันนี้ไม่สะดุดอีก ดังนั้น เพื่อป้องกันคนจะเล่นงานหลายๆ ด่าน คือ การใช้สติ และปัญญา ส่วนความกล้าหาญต้องต่อสู้ ทั้งนี้ ประชาธิปไตยไม่ใช่รถด่วน การต่อสู้ให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่ต่อสู้และแพ้ บอกให้รู้ว่ากล้าหาญอย่างเดียวไม่ได้ต้องมีกลยุทธ์ ลมเปลี่ยนทิศต้องเปลี่ยนหัวเรือ เพื่อหลบลม ไม่ให้เรืออับปาง และไปสู่เป้าหมาย ไม่ใช่สู้ลม แบบนี้ไม่ใช้สู้เพื่อประชาธิปไตย

จากนั้นเป็นการลงมติผลปรากฏว่า มติรัฐสภา 304 เสียงเห็นด้วยกับการส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ต่อเสียงไม่เห็นด้วย 150 เสียงและงดออกเสียง 124 เสียง


กำลังโหลดความคิดเห็น