“พิชัย” นำทัพพาณิชย์เยือนลาว ร่วมวง “รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน AEM ครั้งที่ 56” เร่งเจรจาเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อการค้าที่ไร้รอยต่อในอาเซียน
วันนี้ (17 ก.ย.) รมว.พิชัย นำคณะกระทรวงพาณิชย์ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ครั้งที่ 56 ร่วมกับ 10 รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน เพื่อสรุปผลงานด้านเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยไทยได้เสนอให้มีการเร่งการเจรจากรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัล (DEFT) เพื่อให้เกิดความร่วมมือกันที่จะสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจดิจิทัล และร่วมวางแนวทางในการเจรจากับ 14 ประเทศภาคีของอาเซียน เพื่อยกระดับความตกลงการค้าเสรี (FTA) และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างกัน ก่อนเสนอผลการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจ ต่อที่ประชุมผู้นำอาเซียน ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนตุลาคมนี้
เวลา 17.00 น. ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Ministers’ Meeting: AEM) ครั้งที่ 56 ว่า “วันนี้หลังจากประชุม ครม.นัดแรกที่กรุงเทพฯ เสร็จสิ้น ผมได้บินมา สปป.ลาว เพื่อเป็นผู้แทนประเทศไทยระดับรัฐมนตรี เข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ครั้งที่ 56 มีผู้นำที่เป็นรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ รวม 10 ประเทศ โดย สปป.ลาว เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม โดยที่ประชุมได้เห็นชอบผลการดำเนินการด้านเศรษฐกิจของอาเซียน และรับรองเอกสารผลลัพธ์สำคัญ รวม 17 ฉบับ อาทิ ปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยการเสริมสร้างการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานระหว่างกัน การทบทวนกรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อเตรียมการเจรจายกระดับความตกลงทรัพย์สินทางปัญญาอาเซียน และแผนงานว่าด้วยมาตรฐานการค้าดิจิทัลของอาเซียน”
ที่ประชุมได้ร่วมหารือเพื่อกำหนดทิศทางของการรวมกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจภายใต้วิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียนใหม่หลังปี 2568 และการดำเนินการด้านความยั่งยืน อาทิ เศรษฐกิจหมุนเวียน และการลดการปล่อยคาร์บอน ตลอดจนเตรียมรายงานผลลัพธ์การดำเนินการต่อคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และผู้นำอาเซียนในเดือนตุลาคม 2567
“ไทยได้เสนอให้มีการเร่งการเจรจากรอบความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียน หรือ DEFT เพื่อให้มีผลบังคับใช้โดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ เพื่อเป็นการร่วมมือกันของประเทศสมาชิกอาเซียนที่จะอำนวยความสะดวกทางการค้า สร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ภาคธุรกิจในการค้าข้ามแดนที่ไร้รอยต่อในอาเซียน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการค้าสินค้าและธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องให้เติบโต รวมทั้งดึงดูดการลงทุนจากทั้งภายในและภายนอกภูมิภาคให้มากยิ่งขึ้น โดยได้ผลักดันให้คณะเจรจาเร่งเจรจาให้คืบหน้าอย่างน้อย 50% ในปลายปีนี้” นายพิชัย กล่าว