“จุลพันธ์” แจงแจกเงินหมื่นเฟสแรก 4 วัน เริ่ม 25 ก.ย. นี้ เตือนผู้ถือบัตรคนจน รีบผูกพร้อมเพย์ เลขบัตรประชาชน 13 หลัก ก่อนวันโอนเงิน ชี้ 1 หมื่นบาทเงินสด ไม่ใช่เงื่อนไขใช้จ่าย ยืนยัน เฟส 2 ไม่มีล้ม ทุกคนที่ลงทะเบียนต้องได้รับเงิน
วันนี้ (13 ก.ย.) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงความคืบหน้าในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ว่า รัฐบาลมีความพร้อมเรื่องงบประมาณ ซึ่งมีงบเพิ่มเติมจากปี 2567 อยู่ 1.22 แสนล้านบาท รวมกับการใช้งบกลางบางส่วน รวมแล้ว 1.45 แสนล้านบาทเศษ และในปี 2568 อีกประมาณ 1.87 แสนล้านบาทเศษ โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบางก่อน
ซึ่งงบปี 2567 จะปรับมาดูแลกลุ่มเปราะบางก่อน 1. กลุ่มผู้พิการ 2.1 ล้านคน ซึ่งผูกบัญชีกับ พม.แล้ว ซึ่งเมื่อเราเริ่มดำเนินการจ่ายเงินเงินสดทั้งหมด จะถูกโอนเข้าบัญชี 2. กลุ่มเปราะบาง หรือผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13.5 ล้านคน โดยจะนำข้อมูลทั้งสองกลุ่มนี้มาพิจารณาร่วมกัน โดยไม่ให้มีชื่อซ้ำกัน จะได้ 14.5 ล้านคน ขณะเดียวกัน ในส่วนของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13.5 ล้านคน มี 1 ล้านคนเศษ ที่จำเป็นจะต้องผูกกับบัญชีพร้อมเพย์ ย้ำว่า กลไกง่ายมาก เสียบบัตรหน้าตู้เอทีเอ็ม หรือติดต่อธนาคาร เพื่อผูกบัญชี
ทั้งนี้ จะเริ่มจ่ายเงินในวันที่ 25 กันยายนนี้ เป็นต้นไป ซึ่งจะใช้ระยะเวลา 4 วัน ซึ่งวันแรกในการจ่ายเงินจะเป็นกลุ่มเป็นกลุ่มผู้พิการ และกลุ่มที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่เลขท้ายบัตรประชาชน ลงท้ายด้วยเลข 0 ส่วนในวันถัดไป 26 ก.ย. จะเป็นกลุ่มที่ลงท้ายเลขบัตรประชาชนด้วยเลข 1-3 ส่วนวันที่ 27 ก.ย. จะเป็นกลุ่มที่ลงท้ายเลขบัตรประชาชนด้วยเลข 4-7 และในวันจ่ายสุดท้ายวันจันทร์ที่ 30 ก.ย. เป็นกลุ่มที่ลงท้ายเลขบัตรประชาชนด้วยเลข 8-9
นายจุลพันธ์ ยังระบุถึงสาเหตุการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในโครงการ ว่า รัฐบาลพร้อมรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนอย่างการนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมวุฒิสภา หรือ สว. ก็เห็นว่า มีการร้องไห้ ว่า อยากจะให้เป็นเงินสด ส่วนหนึ่ง เพราะเข้าถึงได้ง่าย คนใช้ก็ง่ายขึ้น ผู้สูงอายุอะไรก็ตาม และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ก็ออกมาบอกว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจ มันรอไม่ได้ เมื่อทำเรื่องงบเพิ่มเติมก็ขอให้เร่งด่วนจริงๆ เราก็คิดกันค่อนข้างละเอียด และเดินหน้าในการปรับส่วนนี้ด้วย เพื่อที่จะให้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเร็ว เพราะฉะนั้นสิ้นเดือนนี้เม็ดเงิน จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทย เป็นเงินสด และจะมีการจับจ่ายใช้สอย โดยตัวเลขทางเศรษฐศาสตร์ชี้ว่า การบริโภคขั้นสุดท้าย ของกลุ่มเปราะบางมีแนวโน้มใช้เงินบาทสุดท้ายค่อนข้างสูง แทนที่จะเป็นการออม ทำให้เงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจค่อนข้างดี แม้ว่าจะเป็นเงินสดก็ตาม ส่วนในโครงการถัดไปต้องดูกันว่าเมื่อเราไม่เปลี่ยนก็จะเป็นเงินก้อนเดียว การดูจังหวะให้เหมาะสม เพื่อให้เกิดระลอกคลื่น ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงการที่รัฐบาลเข้ามาใหม่ก็มีกลไกที่จะเดินหน้า
ทั้งนี้ จะปิดการลงทะเบียน ในวันที่ 15 กันยายน นี้ ในกลุ่มที่มีสมาร์ทโฟน ซึ่งยอดปัจจุบันอยู่ที่ 32 ล้านคนเศษ แต่ยังจะไม่ลงทะเบียนในกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟนต่อทันที ขอประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชน เพราะอยากจะให้การจ่ายเงินในกลุ่มแรกจบก่อน ส่วนจะเปิดลงทะเบียนเมื่อไหร่นั้น จะชี้แจงอีกครั้ง ซึ่งจะเลื่อนไปไม่น่านาน คาดว่า จะมีผู้ลงทะเบียนไม่มากเท่าไหร่
โดย นายจุลพันธ์ ยอมรับว่า ระบบดิจิทัลวอลเล็ต ดีเลย์นิดหน่อย เนื่องจากมีการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ในช่วงเดือนที่ผ่านมา เป็นจังหวะที่ทำอะไรไม่ได้มากนัก คาดว่า ระบบจะแล้วเสร็จในช่วงต้นปี และยืนยันว่า จะต้องทดสอบระบบให้เกิดความมั่นใจที่สุดเพราะเป็นโครงการขนาดใหญ่ และเป็นโครงการที่ประชาชนมีส่วนร่วมมาก เมื่อทุกอย่างพร้อมเม็ดเงินพร้อมก็จะเดินหน้าโครงการ หากสามารถจัดสรรได้ภายในปีเดียว ก็ดำเนินการ หากไม่ได้ เราจะไม่เร่งทางการคลังจนเกินความเหมาะสม จะไม่มีการพยายามรวบรวมงบประมาณจากส่วนต่างๆ ตามข้อห่วงใย เช่น ห่วงว่าจะไปตัดมาจากงบกลาง
“แนวความคิดปัจจุบัน จากข้อสังเกตสมาชิกสภาที่ได้ให้ข้อสังเกตด้วย เราจะไม่เร่งทางการคลังจนเกินความเหมาะสม หมายความว่า จะเอางบประมาณจากทางนั้นทางนี้มารวมกันเพื่อให้เดินได้ เราอาจไม่ทำขนาดนั้น ที่มีข้อห่วงใยไปตัดงบกลางมา 9 หมื่นล้าน หรือแสนล้านบาท คงไม่ดำเนินการอย่างนั้น แต่รอดูจำนวนให้ชัดเจน หลังจากนั้น ดูความเหมาะสม” นายจุลพันธ์ กล่าว
นายจุลพันธ์ ย้ำว่า โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ทุกอย่าง หนึ่งคือ การกระตุ้นเศรษฐกิจในปัจจุบันในปลายเดือน ก.ย.นี้ และช่วยการกระตุ้นเศรษฐกิจในรอบถัดๆ ไป สอง คือ บรรลุวัตถุประสงค์ในการทำโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล คือ ดิจิทัลวอลเล็ต สามารถช่วยสร้างความคุ้นชินให้กับประชาชนได้ และประสบความสำเร็จที่ทำให้แอปพลิเคชันทางรัฐมีประชาชนมาใช้งาน
ทั้งนี้ ผู้ที่ลงทะเบียนในเฟส 2 ต้องรอรับเงินปีหน้าหรือไม่นั้น นายจุลพันธ์ ยืนยันว่า มีการจัดสรรงบประมาณไว้แล้ว 1.87 แสนล้านบาทไว้แล้ว แต่อาจจะต้องจ่ายได้ในปีหน้า แต่อยากให้กำหนดเวลาว่า จะต้องได้ภายในไตรมาสแรก ปี 68 หรือไม่ แต่สุดท้ายแล้ว ก็ต้องมีคำตอบที่ชัดเจนออกมา
ส่วนแนวคิดเฟส 2 จะมีการแบ่งจ่ายเป็นเงินสด 5,000 บาท และอีกส่วนจ่ายเป็นดิจิทัลวอลเล็ต ยังดำเนินแบบนี้หรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ยังพูดชัดไม่ได้ รอตัวเลขสุดท้าย พอลงทะเบียนเสร็จ มีการตรวจสอบสิทธิทั้งหมด เมื่อรู้ยอดทั้งหมด ก็จะมาบริหารจัดการได้ หากมียอดลงทะเบียนไม่มาก เช่น ประมาณ 32 ล้านคน อาจจะทำทีเดียวจบก็ได้ แต่ถ้ามีคนลงทะเบียนเพิ่มเติม อาจต้องพิจารณาให้เหมาะสมต่อไป
นายจุลพันธ์ ยืนยันว่า สำหรับกลุ่มเปราะบางที่ได้รับเงิน ไม่มีข้อจำกัดในการใช้จ่าย ส่วนเหตุผลที่ไม่จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพราะบัตรสวัสดิการก็มีข้อจำกัดบางอย่าง เช่น บัตรสวัสดิการ ใช้ได้เฉพาะร้านธงฟ้า หรือนำไปจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ แต่การให้เป็นเงินสด เพื่อปลดล็อกข้อจำกัดเหล่านั้น จึงต้องโอนเงินเข้าบัญชี
นายจุลพันธ์ ยืนยันว่า ไม่มีแนวคิดแบ่งกลุ่มผู้สูงอายุออกมา เพื่อจะจ่ายเงินเพิ่มอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งแต่ละกลุ่มที่จะได้รับเงินก็มีความทับซ้อนกันอยู่ ซึ่งการจะเพิ่มกลุ่มคงเป็นไปได้ยาก เพราะงบประมาณที่เตรียมไว้ 1.45 ล้านบาท ถูกกำหนดไว้ชัดเจนแล้ว การจะไปเพิ่มกลุ่มคงจะลำบาก
นายจุลพันธ์ ยอมรับว่า การจ่ายเป็นเงินสดสามารถนำไปใช้จ่ายได้ง่าย จ่ายคล่อง แต่มีข้อจำกัดที่ทำให้การหมุนเศรษฐกิจลดลง แต่ข้อดีการจ่ายไปที่กลุ่มเปราะบางจะได้ผลค่อนข้างมาก สามารถเกิดการใช้จ่ายได้เต็มที่ ซึ่งถือว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยกลไกนี้ยอมรับได้ในกลุ่มแรก
นายจุลพันธ์ ยืนยันว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้ทำเพียงโครงการเดียว ซึ่งเข้าใจว่า เป็นโครงการที่ใช้เม็ดเงินเยอะ และมีการมองว่าเป็นโครงการเรือธง แต่รัฐบาลไม่ได้มีมิติเดียว แต่ยังมีโครงการอื่นที่เป็นการสร้างการกระจายเม็ดเงินไปทั่วประเทศ และยังมีโครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณา รวมถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อรองรับการแข่งขันที่เปลี่ยนไป
สำหรับเป้าหมายโครงการนี้เป็นเพียงการแจกเงินหรือกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะอาจไม่ตรงเป้าหมายตอนแรกที่เกิดพายุหมุนเศรษฐกิจ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า มันก็เกิดพายุอยู่ จะใหญ่จะย่อมลงไปบ้าง อย่างไรก็เกิดเป็นพายุหมุน ถึงแม้จะเปลี่ยนเงื่อนไขก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
สำหรับข้อดี การกระตุ้นเศรษฐกิจมี 2 ระลอก จะเกิดระลอกคลื่นต่อผลกระทบในเชิงบวกต่อระบบเศรษฐกิจมีความต่อเนื่องและยาวนาน ซึ่งรัฐบาลก็ปฏิบัติตามข้อห่วงใยของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เคยทักท้วงว่า การลงเห็นไปครั้งเดียวเห็นตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง แต่ปีหน้าการเติบโตทางเศรษฐกิจลดลง ซึ่งกลไกนี้จะช่วยให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่มีระยะยาวขึ้น
“การใส่ก้อนใหญ่ไปตูมเดียว มันจะเกิดคลื่นลูกใหญ่ แต่ไม่ระยะยาว ไม่เกิดแรงเหวี่ยงเศรษฐกิจในระยะยาว ซึ่งก็เราก็คิดก็ต้องหากลไลอื่นไปเสริม ขณะเดียวกัน เมื่อรูปแบบเปลี่ยน กลไกกระตุ้นเศรษฐกิจให้เป็นระลอก มีแรงเสริมส่ง ระลอกแรกลงไป มีระยะเวลาเว้นที่ให้เงินที่เข้าไปมีผลต่อระบบเศรษฐกิจแล้ว เติมก้อนถัดไปเพื่อให้มีคลื่นต่อเสริมส่งจากระลอกแรก เพื่อให้มีผลกระทบเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง” นายจุลพันธ์ กล่าว
นายจุลพันธ์ ยืนยันว่า ไม่มีการล้มโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัล วอลเล็ต ในเฟส 2 แน่นอน ไม่มีการลอยแพ ซึ่งคนที่ลงทะเบียนทุกคนจะต้องได้เงินถึงมือ
ส่วนจะทันปีใหม่ 2568 เพื่อเป็นของขวัญให้กับประชาชนได้หรือไม่นั้น นายจุลพันธ์ กล่าวว่า อย่ากำหนดเวลาขนาดนั้นเลย เดี่ยวงานเร่งอีก
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จะได้เงินครบทุกคนภายในรัฐบาลนี้หรือไม่ นายจุลพันธ์ ยิ้ม พร้อมกับกล่าวว่า ครบ ส่วนจะภายใน 3 ปีหรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า คงไม่ขนาดนั้นมั้ง ส่วนจะต้องรอการจัดสรรงบปี 69 หรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้ลงรายละเอียด แต่ดูความเหมาะสมอีกครั้ง