เมืองไทย 360 องศา
แม้ว่ามองในมุมความสำเร็จจากแผน “ยิงนัดเดียว” นอนตายระเนระนาด ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พรรคประชาธิปัตย์ที่ถือว่าประสบความเสียหายมากที่สุด เพราะนอกจากพรรคจะเสียหายแล้วยังทำให้ “คู่แค้นเก่า” ในระดับผู้อาวุโสอย่าง นายชวน หลีกภัย ต้องเจ็บปวดจนแทบกระอักเลือด หรือแม้แต่พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่เกิดอาการสั่นสะเทือนจนน่าจะมีผลกระทบต่อสถานการณ์ภายหน้า แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องไม่ลืมว่าคราวนี้พรรคเพื่อไทย ก็ต้องสั่นสะเทือนไม่แพ้กัน และยังมีแนวโน้มอาการหนักมากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ดีในภาพของรัฐบาลที่นำโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยเริ่มอยู่ในภาวะ “นิ่ง”แล้วก็ตาม อยู่ในขั้นตอนของการตรวจคุณสมบัติของบรรดาว่าที่รัฐมนตรีอย่างเข้มข้นเท่านั้น หากไม่ผ่านก็มีชื่อสำรองเตรียมไว้อยู่แล้ว หมดเวลาวิ่งเต้นกันแล้ว ทุกอย่างจึงรอการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการเท่านั้น
แต่ผลจากการจัดตั้งรัฐบาลผสมที่ผ่านมาได้เกิดผลกระทบตามมาแบบคาดไม่ถึง โดยเฉพาะการจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ของพรรคเพื่อไทย แม้ว่าทำให้พรรคประชาธิปัตย์ส่อเค้าเป็นพรรคต่ำสิบหรือถึงขั้นสูญพันธุ์ ในการเลือกตั้งคราวหน้าก็ตาม แต่อีกด้านหนึ่งมันก็ย่อมทำให้มวลชนที่เคยสนับสนุนพรรคเพื่อไทย และ นายทักษิณ ชินวัตร ต้องเจ็บปวดข่มขื่นใจเช่นกัน หลังจากก่อนหน้านี้หลายคนก็รู้สึก “ใจสลาย” ไปรอบหนึ่งแล้วเมื่อครั้งจัดตั้งรัฐบาลที่ “ข้ามขั้ว”ไปจับมือกับ “สามป.” ไม่ยอมปิดสวิตช์ ส.ว.มันก็เริ่มถดถอยมาตั้งแต่นั้นมา
ประกอบกับผลงานของการเป็นรัฐบาลอายุหนึ่งปีที่นำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน ก็ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน การปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง นับวันยิ่งแย่ลง นโยบายสำคัญก็ทำไม่ได้ตามที่รับปากเอาไว้ มีแต่เสียงวิจารณ์ แม้แต่คนกันเองยังทนไม่ไหว ไม่ต้องไปพูดถึงคนนอกที่ไม่เอาด้วยอยู่แล้ว
ล่าสุดแม้ว่าจากผลสำรวจบางสำนักที่ออกมาจะบอกว่าทำนองว่าพรรคที่ได้รับผลกระทบในทางลบมากที่สุดก็คือพรรคประชาธิปัตย์จากการร่วมรัฐบาล ขณะที่พรรคเพื่อไทยกลับได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าย่อมสวนทางกับความรู้สึกของคนทั่วไป เพราะเมื่อสำรวจจากปฏิกิริยาสังคม ทั้งในโลกโซเชียลที่ออกมาตำหนิพรรคเพื่อไทย แกนนำคนเสื้อแดงที่ยังไม่อาจยอมรับได้กับการที่ระบุพรรคเพื่อไทยทรยศต่อมวลชนที่บาดเจ็บล้มตาย ต้องสูญเสียอิสรภาพ ติดคุกติดตะราง พวกเขาก็ยอมรับไม่ได้
การให้สัมภาษณ์ของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่จังหวัดสุโขทัย เมื่อวันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา หลังการดึงพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาล ด้วยเหตุผลด้านเสถียรภาพของรัฐบาล หลังจากที่ไม่มีพรรคพลังประชารัฐแล้ว พร้อมทั้งอธิบายว่า เวลานี้พรรคประชาธิปัตย์ได้เปลี่ยนผู้บริหารเป็นชุดใหม่แล้ว ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว
“รัฐบาลที่ดี และรัฐบาลที่จะสามารถช่วยเหลือประชาชนได้ คือรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ ฉะนั้นเสถียรภาพ สำคัญ และการที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยไม่ได้เชิญพรรคพลังประชารัฐเข้าร่วมรัฐบาล การจะแก้ไขกฎหมายต่างๆ จะต้องมีเสียงมากพอ เพราะถ้าไม่มากพอ หรือเกินกึ่งหนึ่งไม่มาก จะทำให้การผลักดันแก้ไขกฎหมายสะดุดได้ และวันนี้ฝ่ายบริหารของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่เหมือนที่ผ่านมา การร่วมรัฐบาลกันไม่ได้หมายความว่าพรรคเพื่อไทยยอมรับการกระทำของผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ในอดีต วันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปเยอะมากแล้ว เราต้องการรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ เพราะฉะนั้นนี่คือปัจจัยหลัก รัฐบาลมีเสถียรภาพ คือการดึงเสียงจากพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้มีเสียงที่มากพอเพื่อผลักดันกฎหมายในอนาคตนี่คือสิ่งสำคัญ” เธอระบุ
ถามว่าคนเสื้อแดงไม่เห็นด้วยกับการที่พรรคเพื่อไทยไปร่วมงานกับพรรคประชาธิปัตย์ นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยมีเป้าหมาย ว่าจะต้องแก้ปัญหาให้ประชาชนให้ได้ นโยบายรัฐบาลต้องทำให้สำเร็จ และเราเป็นพรรคที่ทำนโยบายสำเร็จมาเยอะ ในกระบวนการของการเมืองก็คือเรื่องหนึ่งที่จะต้องทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพให้ได้ ผ่านมาแล้ว 10 ปี 20 ปี ผู้บริหารก็เปลี่ยนไป แม้จะชื่อประชาธิปัตย์เหมือนเดิม แต่ทุกอย่างในนั้นก็เปลี่ยนไปมาก วันนี้เราต้องเดินหน้าต่อ ถ้าเราจะยังคิดแต่เรื่องการเมืองก็เป็นการถ่วงรั้งประเทศเอาไว้ รวมถึงการฟ้องร้องต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องเล็กๆ ไม่ได้จำเป็นสำหรับการบริหารประเทศ
“เพราะฉะนั้นมาอยู่ตรงนี้ ต้องทำหน้าที่เพื่อประชาชนทุกคน เข้าใจความรู้สึกของคนเสื้อแดงดี คนเสื้อแดงจะพูดไม่ได้เลยว่า อิ๊งค์ไม่เข้าใจ อิ๊งค์เข้าใจ แต่วันนี้เราพร้อมหรือยังที่จะก้าวไปข้างหน้า พร้อมหรือยังที่จะเห็นประเทศชาติดีขึ้น เตรียมประเทศให้กับลูกหลาน วันนี้เราต้องเป็นผู้ใหญ่ที่เราต้องพร้อม”
นั่นเป็นเหตุผลของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถึงสาเหตุที่ต้องดึงพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาร่วมรัฐบาล ว่าต้องการเสถียรภาพ อีกทั้งพรรคประชาธิปัตย์ยุคใหม่ที่ไม่มีผู้บริหารในอดีตเหลืออยู่แล้ว และเพื่อให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า ความหมายก็คือ “ต้องก้าวข้าม” อะไรประมาณนั้น
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากปฏิกิริยาจากสังคมเวลานี้ไม่น่าจะเป็นไปตามที่พรรคเพื่อไทย และ นายทักษิณ ชินวัตร ต้องการให้เป็นแบบนั้น เพราะทุกอย่างออกมาในทางตรงกันข้าม ล้วนออกมาในทางลบ คนที่ไม่ชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็ยิ่งไม่ชอบหนักกว่าเดิม ขณะที่อีกฝ่ายที่เคยสนับสนุนพรรคเพื่อไทย เช่น คนเสื้อแดง ที่เคยผิดหวังจากการ “ผสมข้ามขั้ว” มาจนถึงครั้งนี้เชื่อว่าพวกเขารับไม่ได้ และยิ่งถอยห่างมากกว่าเดิม แม้ว่าที่ผ่านมาแรงสนับสนุนของพรรคเพื่อไทยลดน้อยลงไปมาก ไม่มีทางเหมือนเดิมอีกต่อไป
ดังนั้นแม้ว่าตอนนี้สำหรับพรรคเพื่อไทย และ นายทักษิณ ชินวัตร จะสามารถกำจัดคู่แข่งหรือศัตรูทางการเมืองในอดีตลงได้พร้อมกัน และเชื่อว่าสร้างเสถียรภาพให้รัฐบาลที่นำโดยลูกสาวของเขาให้เกิดความมั่นคงกว่าเดิม แต่อีกด้านหนึ่งมันก็ต้องแลกมาด้วยความศรัทธาของมวลชนฝ่ายสนับสนุนมายาวนานไม่น้อยเหมือนกัน และเหมือนกับว่าเวลานี้ได้เกิดสภาพ “แนวร่วมมุมกลับ” ที่ทุกฝ่ายสงวนจุดต่างในอดีต แล้วหันมารุมถล่มรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยไปพร้อมๆ กัน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
อย่างไรก็ดี สิ่งที่รัฐบาลชุดนี้คาดหมายเอาไว้มีเพียงอย่างเดียวในเวลานี้ต้องเร่งสร้างผลงานให้เข้าตา โดยเฉพาะในเรื่อง “ปากท้อง” หากทำไม่ได้ตามราคาคุย ทุกอย่างก็จบเห่ทันที พังทั้งขบวน แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นเรื่องยาก เพราะเป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมยาก อีกทั้งมันยังเป็นช่วง “ขาลง” ทั่วโลกเสียด้วย มันไม่ง่ายอีกแล้ว !!