วันนี้ (17 ส.ค.) นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่มีคลิปวิดีโอเผยแพร่ต่อสื่อสาธารณะของระหว่างการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ภายหลังงานเลี้ยงต้อนรับและแสดงความยินดีให้แก่นักกีฬาไทย ที่หลายฝ่ายมองว่า เป็นใช้ความรุนแรงกับสื่อมวลชน ว่า ตนคิดว่าเรื่องนี้สื่อเข้าใจผิด และคนบางกลุ่มพยายามโยงไปประเด็นทางการเมือง ทั้งที่ไม่ได้มีอะไรมากมาย ก็เป็นการหยอกล้อกัน แต่มี สส.บางคน ไม่ว่าจะเป็น นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน รวมถึง นายปดิพัทธ์ สันติภาดา อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ออกมาระบุว่า จะยื่นเรื่องจริยธรรมกับ พล.อ.ประวิตร นั้น ตนคิดว่าเรื่องนี้ยังอีกไกล เพราะเจ้าทุกข์เองไม่ได้ติดใจอะไร และก็เป็นเรื่องของนักข่าวกับ พล.อ.ประวิตร เท่านั้น
นายสามารถ กล่าวต่อว่า เรื่องจริยธรรมของ สส.ที่ลงชื่อแก้ไขมาตรา 112 หรือ สส.ที่ต้องคดีมาตรา 112 ที่ยังเป็น สส.อยู่ในพรรคก้าวไกล และย้ายไปอยู่พรรคประชาชน ตนอยากถามนายพริษฐ์ ว่า ได้มีการยื่นจริยธรรมตรวจสอบแล้วหรือยัง เพราะถ้ายื่นน่าจะทำให้หลุดออกจากตำแหน่งได้เลย เนื่องจากข้อบังคับของสภาจะบังคับชัดเจนในการที่ต้องปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งบุคคลใดที่ต้องคดีมาตรา 112 ในคดีอาญา ก็มีความผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงอย่างแน่นอน และการที่ถวายสัตย์ปฏิญาณ ก่อนจะเป็น สส.จะมีการนำกล่าวปฏิญาณตนต่อที่ประชุมสภา เพื่อปฏิบัติหน้าที่ สส. ตามรัฐธรรมนูญ โดยรายละเอียดของคำกล่าวปฏิญาณคือ “ข้าพเจ้า (ชื่อผู้ปฏิญาณ) ขอปฏิญาณว่า ข้าพเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ โดยคำที่ระบุว่า จะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชแาณาจักรไทยทุกประการ ฉะนั้น ในรัฐธรรมนูญ หมวด (2) มาตรา 6 ระบุไว้ชัดเจนว่า ผู้ใดจะฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดมิได้
“การกระทำของพวกคุณนั้นฝืนกับสิ่งที่คุณสาบานตน วันที่สาบานตนนั้น ถ้าไม่ปฏิญาณตนก็เป็น สส.ไม่ได้
ฉะนั้นวันนี้คุณโกหกแม้กระทั่งคำปฏิญาณตนของตัวเอง และยังปกป้องคนที่กระทำความผิด ทั้งนี้ก็ไม่ยื่นเอาผิดเรื่องจริยธรรม ผมคิดว่าคนแบบนี้เป็นผู้แทนประชาชนไม่ได้ ผมกำลังบอกว่า ที่มีคนจะยื่นจริยธรรมกับ พล.อ.ประวิตร พวกคุณได้ยื่นตรวจสอบจริยธรรมในพรรคตัวเองหรือยัง เพราะเรื่องของคุณเข้าข่ายผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงแน่นอน เพราะคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญนั้น ผูกพันทุกองค์กร ซึ่งชี้ชัดแล้วว่า การกระทำของพวกคุณนั้นเป็นการล้มล้างการปกครอง เซาะกร่อนบ่อนทำลาย ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ทำไมไม่ทำไม่ยอมยื่นตรวจสอบจริยธรรม อย่างนี้เขาเรียกว่าอะไร ถือว่าเป็นทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดหรือไม่” นายสามารถ กล่าว
นายสามารถ กล่าวต่อว่า การสมรู้ร่วมคิดทำให้เกิดการล้มล้างการปกครอง อย่าลืมว่า ถ้าล้มล้างการปกครอง ในคดีอาญานั้น เป็นข้อหากบฏ แล้วคนที่ให้คนทำผิดมาตรา 112 อยู่ในพรรค ถือเป็นผู้สนับสนุนหรือไม่ แล้ววันนี้จะมายื่นเอาผิด พล.อ.ประวิตร เพื่อกลบเกลื่อนเรื่องตัวเองหรือไม่ อยากจะมาเกาะกระแส พล.อ.ประวิตร แต่ลืมว่า พรรคตัวเองมีคนขาดจริยธรรมเกือบทั้งพรรค และล่าสุด ตนเห็นเขาโพสต์กันว่า หมอวาโย เดินชนคุณศิริกัญญา ในที่ประชุมสภา แบบนี้คุกคามหรือไม่ จะยื่นสอบจริยธรรมหมอวาโยด้วยหรือไม่ เพราะจากภาพข่าวน่าจะชนแรง และน่าจะรุนแรงกว่าเรื่องที่พลเอก ประวิตร หยอกล้อกับนักข่าวแน่นอน
“ผมอยู่ใกล้ชิดกับ พล.อ.ประวิตร มา 10 ปี ผมเห็นเวลาท่านสนิทกับใครท่านจะหยอกล้อ ซึ่งเรื่องนี้เองท่านก็ได้คุยกับนักข่าวคนนั้นแล้ว ซึ่งนักข่าวคนนั้นเขาก็ไม่ได้ติดใจอะไร กลายเป็นว่า บุคคลอื่นติดใจแทน ผมคิดว่าเรื่องนี้ถูกโยงเป็นเรื่องการเมือง เพราะตั้งใจทำลาย พล.อ.ประวิตร มากกว่า และจากภาพที่ออกมาก็ดูรู้ว่า ท่านกับนักข่าวมีความสนิทกันพอสมควร ดังนั้น การหยอกล้อกันก็เป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่ยืนสัมภาษณ์อยู่ แล้ว พล.อ.ประวิตร ไปทำร้ายร่างกายเขา และกับ สส.ท่านก็ทำ ไม่ใช่เฉพาะกับนักข่าว ไม่ใช่เรื่องที่เป็นการทำร้าย ข่มขู่คุกคาม”
นายสามารถ กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า ก่อนที่เราจะตรวจสอบคนอื่น เราต้องเป็นคนที่ดีให้ได้ก่อน ต้องตรวจสอบตัวเองก่อน แต่นี่ปรากฏว่า ตัวเองก็ยังไม่ได้ตรวจสอบ พรรคตัวเองก็ไม่ยอมตรวจสอบ แต่กลับจะมาตรวจสอบคนอื่น ผมคิดว่าไม่มีนักการเมืองประเทศไหนเขาทำกันแบบนี้