xs
xsm
sm
md
lg

3 เรื่องด่วน เอกภาพรัฐบาลแน่นปึ้ก !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เศรษฐา ทวีสิน - พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค
เมืองไทย 360 องศา

หลังจากยุบพรรคก้าวไกล จนกลายสภาพมาเป็นพรรคประชาชน ของกลุ่มที่ใช้สัญลักษณ์ “สีส้ม” สำหรับเตรียมพร้อมลงสนามเลือกตั้งในทุกเวที ขณะเดียวกันมันก็เริ่มเห็นการเมือง “สองขั้ว” อย่างชัดเจน โดยเฉพาะอีกฟากหนึ่ง คือฝั่งที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ และยังกอดคอเป็นรัฐบาลอยู่ในเวลานี้

อย่างไรก็ดีในเหตุการณ์เฉพาะหน้าก็จะมีเรื่องสำคัญสองสามเรื่องที่ต้องติดตามกันว่า จะเป็นการพิสูจน์ความเป็นเอกภาพกันอย่างเหนียวแน่นระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ที่เป็นพันธมิตรกันทางการเมืองในเวลานี้ได้ยาวนานหรือไม่

กรณีแรกที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า นั่นคือการเลือกรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 แทน นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ซึ่งได้รับการโหวตเมื่อครั้งยังเป็นพรรคก้าวไกล จนมีการยุบพรรคจนต้องมีการโหวตเลือกกันใหม่ ทำให้ต้องกลายมาเป็นโควตาของพรรคภูมิใจไทย ที่เป็นพรรคอันดับสองในรัฐบาล คาดว่าจะมีการโหวตกันในวันพุธที่ 14 สิงหาคม นี้

แต่เมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวและท่าทีในฝั่งพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว ถือว่าบรรยากาศผ่อนคลาย ถ้อยทีถ้อยอาศัย โดยเฉพาะท่าทีจากพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำรัฐบาล ก็ยอมรับโควตาดังกล่าวว่าเป็นของพรรคภูมิใจไทย และไฟเขียวที่มีการเสนอชื่อ นายภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง ขึ้นมาเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 โดยที่ไม่มีการดัน นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานคนที่ 2 แต่อย่างใด

ตอกย้ำคำพูดของ นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวถึงโควตาตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ว่า โควตาดังกล่าว เป็นของพรรคภูมิใจไทย แต่ขณะนี้พรรคภูมิใจไทยยังไม่ได้แจ้งมาว่า จะให้ใครดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 พรรคเพื่อไทยไม่ได้ส่งใครไปชิงตำแหน่งนี้ และไม่จำเป็นต้องสลับตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 1 กับรองประธานสภาฯคนที่ 2 ระหว่างพรรคเพื่อไทย กับพรรคภูมิใจไทย เพราะนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 พรรคเพื่อไทย ไม่ขอสลับ และไม่ขอลาออกจากตำแหน่ง ณ ตอนนี้โควตารองประธานสภาฯ คนที่ 1 เป็นของพรรคภูมิใจไทย

แต่ต้องรอการหารือวิปรัฐบาล ในวันที่ 13 ส.ค อีกครั้ง มั่นใจไม่มีปัญหาในการทำงานร่วมกัน การเป็นรองประธานสภา คนที่ 1 หรือ คนที่ 2 ไม่ต่างกัน เท่าเทียมกัน การทำงานใกล้เคียงกัน ต่างกัน แค่สำนักงานที่อยู่ในความดูแลที่ขึ้นอยู่กับประธานสภาผู้แทนราษฎร จะมอบให้ใครดูแลงานด้านไหน ไม่มีการก้าวก่ายกันอยู่แล้ว เชื่อมั่นการทำงานจะเป็นไปด้วยความราบรื่น ดังนั้นประเด็นนี้คงผ่านฉลุย ไม่มีข้อขัดแย้งค่อนข่างแน่นอน

อีกกรณีหนึ่งที่พอได้จับตากันบ้าง ก็คือ การส่งผู้สมัครเลือกตั้งซ่อม ส.ส.พิษณุโลก เขต 1 แทน นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ที่ถูกตัดสิทธิ์การเมือง และพ้นสภาพไป ว่าพรรครัฐบาลจะส่งคนลงสมัครหรือไม่ โดยเฉพาะจากพรรคพลังประชารัฐ ที่การเลือกตั้งคราวที่แล้วได้รับเลือกมาเป็นอันดับสอง ตามาด้วยพรรคเพื่อไทย

ล่าสุดพรรคเพื่อไทยมีท่าทีต้องการส่งคนลงรับสมัคร เพียงแต่ว่ายังรอดูความเห็นจากพรรคพลังประชารัฐเสียก่อน ว่าจะเอาอย่างไร จะส่งคนลงรับสมัครหรือไม่ แต่เมื่อพิจารณาจากอาการแล้ว ก็ค่อนข้างมั่นใจได้ว่า พรรคร่วมรัฐบาลจะส่งผู้สมัครลงแข่งขันเพียงพรรคเดียว ซึ่งต้องหารือกันก่อน ไม่น่าจะต่างคนต่างส่ง เพราะจะตัดคะแนนกันเอง ทำให้พ่ายแพ้พรรคประชาชน ที่ได้ตัวแทนลงสมัครไปแล้ว ดังนั้นเชื่อว่ากรณีนี้ก็คงไม่น่ามีปัญหาอะไรนัก

ส่วนอีกเรื่องที่ต้องจับตาก็คือ ร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเปิดแหล่งบันเทิงครบวงจร หรือ เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ หรือที่เข้าใจกันในชื่อ “เปิดบ่อนถูกกฎหมาย” ที่ล่าสุดพรรคเพื่อไทย โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้นัดแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเข้าหารือที่ทำเนียบรับบาลในตอนเย็นวันที่ 12 สิงหาคม อย่างไรก็ดี กรณีนี้ถือว่ายังไม่มีท่าทีที่ชัดเจนจากบางพรรค เช่น พรรครวมไทยสร้างชาติ

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกรณีที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เรียกแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล หารือช่วงเย็นวันเดียวกันนี้ว่า เป็นการพูดคุยเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์

ถามถึงจุดยืนของพรรค รทสช. ในเรื่องนี้เป็นอย่างไร นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ยังเหมือนเดิมคือต้องดูข้อกฎหมายก่อน เมื่้อถามย้ำว่า ในฐานะนักกฎหมายจะมีอะไรเสนอแนะหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ขอดูก่อน

อย่างไรก็ดีเรื่องที่ต้องลุ้นกันหนักก็คือ กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัย นายเศรษฐา ทวีสิน ว่าจะพ้นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี หรือไม่ ในวันที่ 14 สิงหาคม นี้ จากการถูกร้องว่าการแต่งตั้งรัฐมนตรีที่ขาดคุณสมบัติ เรื่องนี้ถือว่าลุ้นระทึกกันทีเดียว เนื่องจากมีผลต่อสถานะรัฐบาล เพราะหากผลออกมาเป็นลบ รัฐมนตรีก็ต้องพ้นไปทั้งคณะ จนต้องมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีกันใหม่ แน่นอนว่าต้องสร้างแรงกระเพื่อมไม่มากก็น้อย และที่สำคัญยังเป็นการพิสูจน์ความเป็นเอกภาพของพรรคร่วมรัฐบาลว่ายังมีมากแค่ไหนอีกด้วย

แม้ว่านาทีนี้ยังมีลุ้นกันแบบ “ห้าสิบ ห้าสิบ” ออกทางไหนได้เท่าๆ กัน หากออกมาทางบวกก็ได้ไปต่ออย่างน้อยก็อีกระยะหนึ่ง ไม่น่าส่งผลอะไรต่อรัฐบาลมากนัก แต่หากออกมาเป็นตรงกันข้าม ย่อมมีผลกระทบในวงกว้างตามมาแน่นอน ทั้งเรื่องการเฟ้นหาตัวนายกฯคนใหม่ นโยบายสำคัญอย่าง “ดิจิทัล วอลเล็ต” จะได้ไปต่อหรือไม่ ถือว่าน่าติดตาม

ดังนั้น นี่คือเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะมี “เอกภาพ” ได้ยาวนานแค่ไหน ก่อนถึงวันเลือกตั้งครั้งหน้า ที่การเมืองต้องแบ่งออกเป็น “สองขั้ว” แต่กว่าจะไปถึงวันนั้นก็ต้องมีด่านให้พิสูจน์เสียก่อน ว่าจะไปกันได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ !!


กำลังโหลดความคิดเห็น