xs
xsm
sm
md
lg

“ทักษิณ” อยู่ลำบาก เสื่อมถอย-ขาลงรัวๆ !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ทักษิณ ชินวัตร - แพทองธาร ชินวัตร
เมืองไทย 360 องศา



จะเรียกว่าอะไรดีสำหรับ นายทักษิณ ชินวัตร เพราะไม่ว่าจะทำอะไรล้วนไม่ได้ส่งผลในทางบวกมากนัก ตรงกันข้ามกลับมีแต่เรื่องลบ กระทบต่อเครดิตในอดีตมากขึ้นเรื่อยๆ และยังมีผลกระทบต่อเนื่องเชื่อมโยงไปถึงพรรคเพื่อไทย รวมไปถึงรัฐบาลที่นำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน อีกด้วย

ตัวอย่างที่เห็นชัดในเวลานี้ก็คือ จู่ๆ กลับมีเรื่องให้ต้องฟื้นฝอยฯกันอีกแล้ว ทั้งที่ไม่ใช่การพุ่งเป้าโดยตรง แต่กลับกลายเป็นว่ากำลังจะกลายเป็นหลักฐานใหม่รัดคอตัวเอง และอาจบานปลายขยายวงออกไป

เรื่องของเรื่องเริ่มมาจาก อดีตนายตำรวจใหญ่ท่านหนึ่งไปให้สัมภาษณ์ในรายการทีวี แล้วโพล่งขึ้นมาโดยที่ไม่ได้ถาม ทำนองว่าได้รับการขอร้องจาก นายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้ถอนฟ้อง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ยื่นฟ้องเอาไว้กับทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดย นายทักษิณ บอกว่าให้ไปถอนฟ้องไว้ก่อน หลังจากนั้นเขาจะไปวิ่งเต้นเอง

โดยอดีตนายตำรวจท่านนี้ ยังเปิดเผยอีกว่า เขาได้ไปพบนายทักษิณ ชินวัตร ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ที่นายทักษิณ พักรักษาอาการป่วยที่นั่น เพื่อรับการขอร้องดังกล่าวโดยตรง ขณะที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้โทรศัพท์ทางไกลจากต่างประเทศมาขอร้องให้ถอนฟ้อง นายเศรษฐา ด้วยตัวเอง โดยหลังจากนั้นอดีตนายตำรวจท่านนั้นก็ได้ยื่นเรื่องถอนฟ้องตามที่ถูกขอร้อง

จากคำพูดดังกล่าว มันก็ทำให้ “งานงอก” ขึ้นมาทันที จากเดิมที่น่าจะค่อยซาไป เสียงด่าเสียงวิจารณ์กำลังค่อยๆ จางไปตามกาลเวลา หรือ อาจเป็นเพราะพูดไปก็แค่นั้น จนเบื่อหน่ายจึงเงียบเสียงลงไป แต่เมื่อมีข้อมูลใหม่แบบนี้ มันก็เกิดผลเชื่อมโยงมาใหม่ กระทบไปหลายหน่วยงาน เพราะต้องมีการย้อนกลับไป พิจารณากันอีกครั้งว่า การเข้าเยี่ยม การขอร้องสั่งการได้นั้น ย่อมเป็นการพิสูจน์เห็นว่านายทักษิณ ไม่ได้ป่วยเข้าขั้นวิกฤต ตามเงื่อนไขที่กรมราชทัณฑ์ต้องอนุญาตให้พักรักษาอาการป่วยนอกเรือนจำที่ตัวเองเป็นนักโทษเด็ดขาด กลายเป็นว่าหลักฐานจากคำพูดดังกล่าวตบหน้าเข้าอย่างจัง

และสิ่งที่กระทบชิ่งตามมาอีกก็คือ ทำให้ภาพลักษณ์ของ ป.ป.ช.มัวหมอง และส่งผลกระทบความเชื่อมั่นลงไปอีก จากกรณีที่ถูกระบุว่า “จะไปวิ่งเต้นเอง” ซึ่งความหมายมันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า กระบวนการตรวจสอบมันไม่น่าเชื่อถือ ถูกมองว่าสามารถซื้อ หรือขอร้องกันได้ แม้ว่าความจริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่เครดิตความเชื่อถือย่อมได้รับผลกระทบในทางลบไปแล้ว

เมื่อวกมาที่ นายทักษิณ ชินวัตร นาทีนี้ได้กลับมาเป็นจุดสนใจอีกครั้ง อย่างน้อยก็มีการตอกย้ำให้เห็นถึงกรณี “นักโทษเทวดา” หรือ “อภิสิทธิ์ชน” เพราะหากเป็นแบบนั้นก็เป็นคำตอบชัดเจนว่า เขาเป็นผู้บงการทุกอย่าง ไม่ว่ากับรัฐบาล มีอิทธิพลเหนือทุกองค์กร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไม่ติดคุกแม้สักวันเดียว การ “ป่วยทิพย์” การวิ่งเต้นกับองค์กรการตรวจสอบ อย่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) แม้ว่าในข้อเท็จจริงชาวบ้านเขารู้กันอยู่แล้ว เพียงแต่ว่านี่คือสิ่งสะท้อนให้เห็นว่า “มันคือเรื่องจริง” เท่านั้นเอง

อย่างไรก็ดี เรื่องราวดังกล่าวหากคาดเดาล่วงหน้าว่าคงไม่อาจทำอะไรใครได้ เพราะขึ้นอยู่กับอดีตนายตำรวจคนนั้นว่าจะไปยืนยัน หรือขยายความว่าไปพบกันอย่างไร เล่าสภาพอาการของ นายทักษิณ ชินวัตร ระหว่างที่พักอยู่ชั้น 14 เพียงแต่ว่าการพูดจาข้อร้องดังกล่าว มันก็สะท้อนให้เห็นว่า เขาไม่ได้ป่วยหนัก หรือแกล้งป่วยเท่านั้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับ อดีตนายตำรวจคนนั้นว่า จะยืนยันในสิ่งที่พูดหรือเปล่า

อีกเรื่องหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงภาวะ “ขาลง” เสื่อมศรัทธา ของนายทักษิณ ชินวัตร นั่นคือผลการเลือกตั้ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ที่ผู้สมัครที่พรรคเพื่อไทยให้การสนับสนุนอย่างเต็มตัว คือนายชาญ พวงเพ็ชร์ ที่ชนะการเลือกตั้งแบบฉิวเฉียด เฉือนกันไม่ถึงสองพันคะแนน ซึ่งหากพิจารณาจากผลคะแนน เมื่อเทียบกับการทุ่มกันสุดตัว ยกกันไปทั้งพรรค และทั้งครอบครัวชินวัตร แต่ผลกลับมาได้แค่นี้ถือว่า “เสียหาย” และน่าอับอายมากกว่า

อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากแบ็กกราวด์แล้ว ยังมีปัญหาตามมาอีกว่า นายชาญ พวงเพ็ชร์ จะไม่ได้นั่งเก้าอี้ นายก อบจ.ปทุมธานี หรือเปล่า เพราะมีปัญหาเรื่องการทุจริต จากการที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด กรณีจัดซื้อถุงยังชีพ และอุปกรณ์ออกกำลังกาย และศาลรับฟ้องแล้ว ทำให้ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ แม้ว่าเป็นคดีเก่า และพ้นจากหน้าที่ไปแล้ว แต่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาใหม่ แต่เมื่อคดียังไม่จบ มันทำให้มีปัญหาขึ้นมาทันทีว่า จะได้นั่งเก้าอี้หรือไม่ หรือว่า ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่ถึงอย่างไรมันก็ทำให้มัวหมอง ทั้งเจ้าตัวเอง และพรรคเพื่อไทย รวมทั้งนายทักษิณ ชินวัตร ที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ สนับสนุนคนที่ยังมีมลทิน เสียงรังวัด เสียเครดิตไปอีก

นอกจากนี้ สิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงภาวะ “ขาลง เสื่อมถอย” ของ เขา และพรรคเพื่อไทย ต่อเนื่องไปถึงรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน ในตอนนี้ก็คือ เสียงวิจารณ์ที่ลุกลามมาถึงรัฐบาล ทั้งในเรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้อง ที่ยังไม่มีผลงานอะไรที่จับต้องได้ นโยบายสำคัญที่เคยหาเสียงเอาไว้ ก็ยังไม่มี ตรงกันข้ามกับเสียงวิจารณ์เย้ยหยัน หากไม่เชื่อก็ลองไปฟังเสียงตามโชเชียลฯ ที่มีคลิปล้อเลียนกันอย่างสนุกสนาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “ปิดสวิตช์สามป.ฯ” ที่ล้อเลียน “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แคนดิเดตนายกฯลูกสาวของ นายทักษิณ เรียกว่าป่นปี้ หรือกรณีเติมเงิน 2 หมื่นบาททุกเดือน ลดค่าครองชีพ ค่าน้ำค่าไฟ การทำมาหากินฝืดเคือง จนต้องปิดกิจการ ที่ขุดขึ้นมาล้อเลียนเสียดสี สารพัด

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ย่อมไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสำหรับพรรคเพื่อไทย และครอบครัวของ นายทักษิณ ชินวัตร อย่างน้อยก็ในช่วง เกือบยี่สิบปีที่ผ่านมา เพราะคงได้อาศัยบุญเก่าในยุคไทยรักไทย ที่เคลมว่าเป็นนักประชาธิปไตย มีฝีมือในเรื่องเศรษฐกิจขั้นเทพ เรียกว่า “เพื่อไทยมา ต้องมีกินมีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี” อะไรประมาณนั้น แต่ผ่านมาจะครบปีอยู่แล้วยังไม่เห็นวี่แววฟื้นเลย ตรงกันข้ามมีแต่แนวโน้มแย่ลงเรื่อยๆ

ดังนั้น หากทุกอย่างยังเป็นอยู่แบบนี้ มันก็ยิ่งทำให้เสียเครดิต ทำให้เกิดวิกฤติศรัทธา และยิ่งในยุคปัจจุบันเป็นยุคสื่อโซเชียลฯ กระแสแรงทุกคำพูดล้วนมีการบันทึก อาจมีการตัดต่อบ้าง แต่ทุกการเคลื่อนไหวจะถูกเปิดออกมา จนทำให้สังเกตเห็นชัดเจนว่า เวลานี้ นายทักษิณ ชินวัตร แทบจะไม่มีเครดิตเหลืออีกแล้ว เชื่อว่าพวกเขาก็น่าจะรับรู้ได้บ้างแล้ว และที่สำคัญทำให้รัฐบาล โดยเฉพาะ นายเศรษฐา ทวีสิน ทำงานได้ลำบาก จนแทบไม่มีโอกาสสร้างผลงานได้เลย เพราะภาวะเสื่อมเริ่มเห็นชัดเรื่อยๆ แล้ว !!


กำลังโหลดความคิดเห็น