xs
xsm
sm
md
lg

เล่ห์กล "โจ๊ก" บิดกฎหมายถูกจับได้เห็น ๆ ** ร้องศาลปกครอง เบรก กกต. รับรองผลเลือกสว. ชุด “จัดตั้ง”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล- วิษณุ เครืองาม -รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร
ข่าวปนคน คนปนข่าว



** เล่ห์กล "โจ๊ก" บิดกฎหมายถูกจับได้เห็น ๆ

ควันหลงมติ 12:0 ของ ก.ตร.เห็นชอบกับคำสั่งให้ "โจ๊ก" พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล ออกจากราชการถูกต้อง น่าสนใจว่า "โจ๊ก" ที่ลั่นวาจาจะฟ้องดะ ตั้งแต่ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ประธาน ก.ตร.ไปยันกรรมการอีก 11คน จะทำที่พูดแค่ไหน

ว่ากันว่า เรื่องฟ้อง และขู่ว่าจะฟ้อง เป็นพฤติกรรมของ “พล.ต.อ. สุรเชษฐ์” มาแต่ไหนแต่ไรกลายเป็นนิสัยถาวรที่แก้ไม่ได้ เป็นสันดอนที่ยากจะขุดไปแล้ว

ลูกน้องคนใกล้ชิด “โจ๊ก”รับรู้เรื่องมาตลอด เพราะพล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หลงตัวเองหนัก เชื่อว่าตนเองเก่งในเรื่องกฎหมาย และใช้กฎหมายเก่ง

ใครที่เป็นศัตรู ใครที่เป็นคู่กรณี ก็จะใช้กฎหมายจัดการ ยิ่งได้กุนซืออย่าง "วิษณุ เครืองาม" ยิ่งเชื่อว่า ตีความกฎหมาย ให้เป็นคุณกับตัวเอง ทำร้ายผู้อื่นได้แบบสบายๆ ไม่มีใครจะจับได้ไล่ทัน

เรียกได้ว่า นอกจากจะคุยโวชื่อตัวเอง แปลว่า “พระพรหม” อาจจะคิดว่าตัวเองเป็น "ศรีธนญชัย" กลับชาติมาเกิด

แต่"โจ๊ก" ลืมคิดไปหรือเปล่าว่า..ปราชญ์ทางกฎหมายเขาอ่านออก ตามทัน "เล่ห์กล" ของ โจ๊กธนญชัย

ดังที่ "รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร" อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่าน เฟซบุ๊ก เมื่อตอนที่เห็นจ้อหน้าสื่อหลังจากที่ ก.ตร. มีมติ 12 ต่อ 0

ระบุว่า วันนี้ได้ดู “พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล” ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวสดๆ ทาง youtube  หลังจากที่ ก.ตร.มีมติ 12 ต่อ 0 เห็นว่าการสั่งให้ พล.ต.อ สุรเชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อน เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังคงยืนยันกับผู้สื่อข่าวว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย อย่างที่ “วิษณุ เครืองาม” ได้แถลงไว้ โดยพล.ต.อ.สุรเชษฐ์อ้างมาตรา 131 ซึ่งเป็นมาตราที่ “พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์” ใช้เพื่อออกคำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อนนั่นเอง

“พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” ได้ถามนักข่าวว่า มีใครมี พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ปี 2565 ให้ดูได้บ้าง ก็ปรากฏว่า มีนักข่าวคนหนึ่งมีอยู่ในมือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้นำเปิดอ่าน มาตรา 131 วรรค 6 ให้ผู้สื่อข่าวและผู้ชมฟัง ซึ่งข้อความต่อไปนี้เป็นการอ่าน และเป็นคำพูดของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล

“วรรค 6 เขาเขียนไว้ว่า วรรคแรกเขาบอกว่า ผบ.ตร. มีอำนาจ วรรค 6 เขาบอกว่า หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการสั่งให้พักราชการและการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน การดำเนินการให้เป็นไปตามผลการสอบสวน พิจารณา และให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎ ก.ตร.”

หากผู้ฟังไม่ไปเปิดอ่าน มาตรา 131 วรรค 6 ดูเอง ก็จะเห็นด้วยกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ทันทีว่า คำสั่งที่ให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อนนั้นไม่ชอบ ด้วยข้อความที่ว่า

“การสั่งให้พักราชการและการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน (ตกคำว่า และ) การดำเนินการ (ตกคำว่า เพื่อ) ให้เป็นไปตามผลการสอบสวน พิจารณา และให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎ ก.ตร.”

แต่หากไปเปิดดู พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ปี 2565 มาตรา 131 วรรค 6 ก็จะเห็นข้อความ

“หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการสั่งพักราชการ การสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ระยะเวลา ให้พักราชการ และให้ออกจากราชการไว้ก่อน และ การดำเนินการ เพื่อให้เป็นไปตามผลการสอบสวน พิจารณา ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎ ก.ตร.
 จะเห็นว่า ที่ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล” อ่านนั้นเว้น คือ ตกคำไป 2 คำ คือ คำว่า "และ" และคำว่า "เพื่อ" ทำให้ความหมายของข้อความในย่อหน้านี้ แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

 งานนี้ โจ๊กมีเจตนาอะไร? ไม่ต้องเดาให้เสียเวลา

เพราะถ้าอ่านข้อความเต็มๆ ใน พ.ร.บ.ตำรวจ ก็จะตีความได้ว่า หลักเกณฑ์ต่างๆ เกี่ยวกับการสั่งพักราชการ และการให้ออกจากราชการไว้ก่อน การกำหนดระยะเวลาให้พักราชการ และการกำหนดระยะเวลาให้ออกจากราชการไว้ก่อน รวมทั้งการดำเนินการ เพื่อให้เป็นไปตามผลการสอบสวน  ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎก.ตร.

ทว่า หากใช้ข้อความตามที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ อ่านจะกลับหมายความว่า การดำเนินการเกี่ยวกับการสั่งพักราชการ และการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ให้เป็นไปตามผลการสอบสวน นั่นหมายความว่า ผบ.ตร.จะสั่งให้ข้าราชการตำรวจออกจากราชการไว้ก่อน ต้องรอผลการสอบสวนเสียก่อนจึงจะมีคำสั่งได้ ซึ่งแตกต่างจากจากประโยคที่มีคำว่า "และ" และคำว่า "เพื่อ" โดยสิ้นเชิง!
นี่แหละนิสัย! ของ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” ที่ถ้ายังเป็นตำรวจและบังคับใช้กฎหมายกับผู้อื่น -ประชาชนจะน่ากลัวแค่ไหน?

พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ - สรชาติ วิชย สุวรรณพรหม - จาตุรันต์ บุญเบ็ญจรัตน์ - บุญส่ง น้อยโสภณ
** ร้องศาลปกครอง เบรก กกต. รับรองผลเลือกสว. ชุด “จัดตั้ง”

การเลือกสว. ด้วยกติกาใหม่เป็นครั้งแรกได้ผ่านไปแล้ว จากที่ก่อนการเลือกจะเริ่มขึ้น คาดหมายกันว่าจะได้ “สว.สีแดง” กับ “สว.สีส้ม” เข้ามาเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากเห็นชัดว่า มีการระดมคนไปสมัคร มีการตั้งความหวังว่า จะกินรวบทั้งสภาสูงสภาล่า

โดยเฉพาะเมื่อ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” อดีตนายกรัฐมนตรี น้องเขย“ทักษิณ ชินวัตร” ลงสมัครที่เชียงใหม่ ก็ได้รับการคาดหมายว่า นี่คือ “ประธานวุฒิสภา” คนใหม่

แต่สุดท้าย ผลที่ออกมา ว่าที่สว. ส่วนใหญ่กลับเป็น “สายสีน้ำเงิน” ที่มีความผูกพันกับพรรคภูมิใจไทย และ “บ้านใหญ่บุรีรัมย์”
มีการเปรียบเปรยกันว่า หากสว.ชุดที่แล้วเป็น “สว.ลากตั้ง” พี่น้อง 3ป. จะสั่งซ้ายหัน ขวาหันก็ได้ ...สว.ชุดใหม่นี้ ก็เป็น “สว.จัดตั้ง” ที่ต้องรอฟังสัญญาณจาก “ครูใหญ่บุรีรัมย์” เช่นกัน

จากผู้ได้รับเลือกเป็นสว. ทั้งหมด 200 คนนั้น เป็น สว.ที่มาจากจ.บุรีรัมย์ในสาขาอาชีพต่างๆ มากที่สุดถึง 14 คน มากกว่ากรุงเทพฯ ที่ได้เข้ามาแค่ 9 คนเท่านั้น

ส่วน “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” สอบตก ชนิดไม่ติดแม้แต่ตัวสำรอง

ถือว่าเสียหาย เสียหน้า ทั้งกับตัวเอง กับพรรคเพื่อไทย และกับทักษิณ ชินวัตร เป็นอย่างยิ่ง

มีเสียงวิพากวิจารณ์ตามมาว่า หรือเป็นเพราะ “ทักษิณ” เสื่อมมนต์ขลัง หรือกลุ่มผู้สมัครสว.ด้วยกัน ไม่อยากให้พรรคเพื่อไทย คุมเบ็ดเสร็จทั้งสภาสูง สภาล่าง

แต่ “ทักษิณ” กลับโบ้ยว่า เป็นเพราะกติกาที่เขียนโดยคณะรัฐประหาร ผลจึงออกมาแบบนี้

ส่วน“เศรษฐา ทวีสิน” บอกว่า ในเมื่อกติกาถูกเซ็ตมาแล้ว และทุกคนก็ลงเล่นกัน ย่อมมีทั้งคนผิดหวัง และสมหวัง ตนเองในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง พร้อมน้อมรับ ส่วนจะมีใครไม่เห็นด้วยและจะไปปรับปรุงแก้ไขอย่างไร ก็ต้องไปแก้ที่สภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.)

ส่วนการพ่ายแพ้ของ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ที่ถูกเชื่อมโยงมองไปถึงคะแนนความนิยมของพรรคเพื่อไทยด้วยนั้น “เศรษฐา” คิดว่าน่าจะเป็นความเชื่อมโยง ทางเครือญาติ มากกว่า โยงกับพรรคเพื่อไทย

ทั้งนี้ ทาง กกต.มีแผนที่จะประกาศรับรองสว. ชุดใหม่ในวันที่ 3 ก.ค.นี้

แต่ล่าสุด “จาตุรันต์ บุญเบ็ญจรัตน์” เลขาธิการกลุ่ม Clean Politic ในฐานะ อดีตผู้สมัคร สว. ประกาศว่าจะไปยื่นศาลปกครองสูงสุดใน วันที่ 1 ก.ค. ขอให้ไต่สวนฉุกเฉิน คุ้มครองชั่วคราว การประกาศผลเลือกสว. เพราะมีทั้ง ผู้สมัครที่กรอกประวัติ อาชีพ ไม่ตรงกลุ่ม และยังมีกลุ่มก้อนทางการเมืองเข้ามาแทรกแวงการเลือกสว.ครั้งนี้ ด้วยวิธี “ฮั้ว” หรือ “บล็อกโหวต”

“จาตุรีนต์” บอกว่าการเลือก สว.คราวนี้ เต็มไปด้วยกลยุทธ์ หักเหลี่ยม เฉือนคม โกหก หลอกลวง หักหลังกันอย่างน่าเกลียด น่าเวทนา สุดท้าย หลังหักกันถ้วนหน้า ที่หนักหนาสาหัส จนไม่สามารถปล่อยผ่านคือ การสมัครเข้ามาเพื่อไม่ได้อยากเป็น สว.อย่างบริสุทธิ์ใจ ผิดเจตนาของรัฐธรรมนูญ คือให้คนมาสมัครเพื่อเสนอตัวเป็นสมาชิกวุฒิสภาผู้ทรงเกียรติ

ก็ต้องจับตาว่า ศาลปกครองสูงสุดจะรับเรื่องไว้พิจารณา และออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวหรือไม่

แต่ถ้าหากศาลปกครองสูงสุด ไม่มีมาตรการใดๆออกมา และทางกกต. ใช้วิธีประกาศรับรองผู้ได้เป็นสว.ไปก่อน และสอยทีหลัง ขั้นตอนต่อไปก็จะเป็นการเลือกประธานฯ และรองประธานวุฒิสภา ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในช่วง วันที่ 8-12 ก.ค.นี้

คนที่ถูกพูดถึงว่า เป็นตัวเต็งในตำแหน่งประธานวุฒิสภา ก็คือ “บิ๊กเกรียง” พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ อดีต ผช.ผบ.ทบ.- อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 อดีตประธานคณะที่ปรึกษาของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” รมว.มหาดไทย

ส่วนรองประธานวุฒิสภานั้นมีชื่ออของ “สรชาติ วิชย สุวรรณพรหม” อดีต สส.หนองบัวลำภู ที่ได้คะแนนมาอันดับหนึ่ง ในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสาร การพัฒนานวัตกรรม และอีกชื่อที่ถูกกล่าวถึงคือ “บุญส่ง น้อยโสภณ” อดีต กกต. อดีตผู้พิพากษา

ก่อนอื่นต้องจับตาว่า วันที่ 3 ก.ค.นี้ กกต. จะประกาศรับรอง สว. 200 คน พร้อมบัญชีสำรอง อีก 100 คน หรือไม่


กำลังโหลดความคิดเห็น