xs
xsm
sm
md
lg

“โจ๊ก”สุรเชษฐ์ สติแตก ไล่ฟ้อง 12 ก.ตร.- นายกฯ ** “สุเทพ” คุก1ปี ไม่รอลงอาญา คดีกบฏ กปปส. นำมวลชน ชัตดาวน์กรุงเทพฯ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เศรษฐา ทวีสิน - พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล - วิษณุ เครืองาม - สุเทพ เทือกสุบรรณ
ข่าวปนคน คนปนข่าว

** “โจ๊ก”สุรเชษฐ์ สติแตก ไล่ฟ้อง 12 ก.ตร.- นายกฯ

“โจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ให้สัมภาษณ์ ถึงมติคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. ที่เห็นชอบคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ชอบด้วยกฎหมายเมื่อวันพุธ (26 มิ.ย.)ที่ผ่านมาว่า ไม่ผิดความคาดหมายของตัวเอง

ถามว่าหลังจากนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะทำอย่างไร ? เจ้าตัวตอบอย่างไม่ลังเลว่า ฟ้อง..ฟ้อง...แล้วก็ฟ้อง

ว่าแล้วเตรียมจะลุยฟ้อง คณะกรรมการ ก.ตร. 12 คน ที่มีมติ 12: 0 รวมทั้ง “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ก.ตร. ด้วย

งานนี้ทนายความรับงาน “โจ๊ก” สุรเชษฐ์ ลูบปากด้วยความยินดี ยิ้มกว้างรับทรัพย์ ท่องคำ รวย รวย รวย! ไว้ล่วงหน้าได้เลย เพราะได้ลูกความที่มีทัศนคติแบบโจ๊ก ถือเป็น ขนมหวาน กรุบกรอบ

“โจ๊ก”นาทีนี้ เรียกว่า “สติแตก” โดยสมบูรณ์!!

ใครไม่คิดแบบข้า ก็ตราหน้าเขาเป็นฝ่ายตรงข้าม กล่าวหาทำไม่ถูกกฎหมาย! ต้องฟ้องมัน

พฤติการณ์โนสน โนแคร์ เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ขนาดหลักปฏิบัติตามกฎหมายจะเป็นอย่างไร หากไม่เกิดคุณต่อตัวเองก็ถือว่า ไม่ใช่ ซะงั้น

แม้แต่ “วิษณุ เครืองาม” ที่อุตสาห์เป็นกุนซือ จะหวังดี ทัดทานขอคิดให้ดีๆ ที่จะฟ้องนายกฯ แต่ “สุรเชษฐ์”ก็ถอนหงอกซึ่งๆ หน้า แบบไม่เชื่อในคำแนะนำ เพียงแต่ใช้ “วาทกรรม” ออกสื่อว่า ยังเคารพวิษณุเหมือนเดิม แต่ที่จะฟ้องนายกฯ เพราะ “เศรษฐา” ทำความผิดสำเร็จแล้ว ที่มานั่งเป็นประธาน ก.ตร. ให้ความเห็นชอบให้ตนเองออกจากราชการ

น่าช้ำใจแทน “วิษณุ” จริงๆ ความหวังดีของวิษณุ กลับกลายเป็นความไร้ค่า ไร้ราคา ในสายตาของ “โจ๊ก”

นี่แค่การดิ้นรนต่อสู้กับคำสั่งให้ออกจากราชการ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” เตรียมจะฟ้อง 13 คน ไม่นับก่อนหน้า ที่ฟ้องคนนั้น คนนี้ ที่ออกมาเปิดโปงพฤติกรรมต่างๆ ของโจ๊ก ซึ่งเขาส่งให้ทนายความฟ้องด้วยข้อหาหมิ่นประมาทอีกไม่รู้กี่คน กี่คดี

ปีนี้จะไม่นับเป็นปีดวงเฮงของสำนักงานกฎหมายที่ทำคดีให้โจ๊กได้อย่างไร ไหนจะรับทำคดีให้พวกพ้องลูกน้องรอบเอวของ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” อีกหลายคน

ขณะที่ “ลูกพี่โจ๊ก” หน้าดำคร่ำเครียด ยังจ้องทะเลาะกับทุกคน ทนายทีมโจ๊กย่อมยินดี ถูก-ผิดไม่รู้ รู้แต่สั่งมาก็จัดให้

เห็นๆ กันอยู่ว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เลือกที่จะฟ้องทุกคนที่มีความขัดแย้งกับตัวเอง แต่เจ้าตัวก็ปกิเสธว่า ไม่ได้ทะเลาะกับใคร โดยเฉพาะผู้บังคับบัญชา และขอถามกลับว่า “ทำไมตนเองถึงถูกรังแกมาทั้งชีวิต เพราะว่า ตนเองมีอายุราชการเหลือหลายปี เป็นอาวุโสลำดับที่ 1 และทำงานตรงใจประชาชนหรือไม่ ถ้าอายุราชการเหลือแค่ 1 ปี ก็คงไม่เป็นปัญหา ”

นี่แหละโจ๊ก ตัวเองจะคิดอย่างไรก็คงไม่ใช่ปัญหา

ปัญหาก็คือ ทำไม “โจ๊ก” ไม่ฉุกคิด ไม่มองย้อนหลังกลับไปบ้าง เหตุที่ทำให้ต้องออกจากราชการ คืออะไร? ตนเองเป็นนายตำรวจใหญ่ มีตำแหน่งเป็นถึง รอง ผบ.ตร. ทำไมจึงไปพัวพันคดีเว็บพนัน -ฟอกเงิน

ถ้าสติแตก หมกหมุ่นครุ่นคิดแต่ว่า ทุกคนไม่อยากให้ตัวเองเป็น ผบ.ตร. เพราะมีเวลาราชการเหลือเยอะ

ย้ำคิดย้ำทำ ว่า ข้าเก่ง ประชาชนรักข้า มโนทุกวัน ค่ำเช้า ข้าต้องเป็น ผบ.ตร. โดยที่ไม่พิจารณาเหตุและผล ตามหลักธรรมะ ที่ตระเวนไปกราบไหว้พระทั่วไทย ไม่ได้ซึมซับสักนิดเลยหรือไร

วันนี้ ถามกำลังพลตำรวจทั้งองค์กรสองแสนกว่านายก่อนดีหรือไม่ว่า คิดเห็นเช่นเดียวกับ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” หรือไม่

แทนคำตอบ ตำรวจร้อยทั้งร้อย ก็ต้องบอก “โจ๊ก”ว่า ...เชิญไปรับยาช่อง 4 ครับลูกพี่ !!


** “สุเทพ” คุก1ปี ไม่รอลงอาญา คดีกบฏ กปปส. นำมวลชน ชัตดาวน์กรุงเทพฯ

ย้อนไปในช่วงปี 2566 ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้มีความพยายามออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับ “เหมาเข่ง” หรือ ฉบับ “สุดซอย” อ้างหลักการเพื่อนิรโทษกรรมแก่ผู้ที่กระทำความผิดอันเนื่องมาจากการชุมนุมทางการเมือง

ตอนแรก ก็เพื่อนิรโทษผู้ต้องขังจากคดีเผาศาลากลางจังหวัด จากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองในปี 2553 จากนั้นก็ขยายไปครอบคลุมหลายฝ่าย ทั้งพันธมิตรฯ และ นปช. ที่สำคัญยังรวมถึง "ทักษิณ ชินวัตร" ซึ่งขณะนั้นได้หนีคดีทุจริตไปอยู่ต่างประเทศ
ทำให้มีกระแสคัดค้าน การออก พ.ร.บ.นิรโทษดังกล่าว เพราะถือว่าเป็นการนิรโทษฯ ให้แก่คดีอาญาพวก "ฆ่า-เผา" และ "ผู้ทุจริตคอร์รัปชัน" ที่สำคัญคือต้องการพา“ทักษิณ” กลับบ้าน

จึงเกิดการชุมนุมประท้วง ขับไล่ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” มีการจัดตั้ง คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” หรือ “กปปส.” โดยมี “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เป็น เลขาธิการ กปปส.

นอกจากจัดระดมมวลชน ชุมนุมขับไล่ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ยังมีการขัดขวางการเลือกตั้งส.ส. เพื่อมิให้นายกรัฐมนตรี และครม. ชุดใหม่ เข้าบริหารประเทศ ให้ข้าราชการระดับสูง รายงานตัวกับกลุ่ม กปปส. จากนั้น จะแต่งตั้งคณะบุคคลเข้าบริหารประเทศ เป็นรัฐบาลประชาชน เป็น รัฏฐาธิปัตย์ ซึ่งจะออกคำสั่งแต่งตั้ง นายกรัฐมนตรี และ ครม. โดยจะนำรายชื่อขึ้นกราบบังคมทูลเอง
มีการจัดตั้งกองกำลังพร้อมอาวุธ บุกยึดสถานที่ราชการ และหน่วยงานสำคัญต่างๆ หลายแห่ง เพื่อไม่ให้รัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินได้ มีการ“ชัตดาวน์กรุงเทพฯ” ตั้งเวทีปราศรัย ทั่วกรุงเทพ 7 จุด ปิดกันเส้นทางจราจร จัดตั้งกองกำลังรักษาพื้นที่ วางเครื่องกีดขวาง ไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่รัฐ เข้าไปเกี่ยวข้อง

เรียกได้งานนั้น “สุเทพ” เล่นใหญ่เกินเบอร์

แม้จะทำการขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้สำเร็จ แต่ “สุเทพ” ในฐานะเลขาธิการ กปปส. พร้อมแกนนำ รวม 39 คน ก็ถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ในข้อหา ร่วมกันเป็นกบฏ , ก่อการร้าย, ยุยงให้หยุดงานฯ , กระทำให้ปรากฏด้วยวาจา หรือวิธีการอื่นใดฯ ทำให้เกิดความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่องในราชอาณาจักรฯ, อั้งยี่, ซ่องโจร, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองฯ , บุกรุกในเวลากลางคืนฯ และร่วมกันขัดขวางการเลือกตั้งฯ

“สุเทพ” กับพวกจำเลยทั้งหมด ให้การปฏิเสธ และได้รับการประกันตัว

ต่อมา เมื่อปี 2564 ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกแกนนำ 27 คน อาทิ “สุเทพ” ให้จำคุก 5 ปี, “ชุมพล จุลใส” จำคุก 9 ปี 24 เดือน, “พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ไ จำคุก 7 ปี ส่วนจำเลยคนอื่นๆ ก็รับโทษลดหลั่นกันไป และบางส่วนศาลพิพากษายกฟ้องอีก 12 คน
“สุเทพ”กับพวก ยื่นอุทธรณ์

ล่าสุด เมื่อวานนี้ (27มิ.ย.) ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้โทษ รวมโทษจำคุก “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เป็นเวลา 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา ส่วนคนอื่นๆ อาทิ “ชุมพล จุลใส” 1 ปี 8 เดือน , “พุทธิพงษ์” 1 ปี , “อิสสระ” 1 ปี 8 เดือน , “ถาวร” 1 ปี , “ณัฏฐพล” 1 ปี 8 เดือน , “สมศักดิ์” 1 ปี , “สุวิทย์”1 ปี 8 เดือน , “อัญชะลี” 1 ปี ปรับ 8,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา เป็นต้น

เบ็ดเสร็จ มีผู้ต้องโทษจำคุก ไม่รอลงอาญา 14 คน รอลงอาญา 4 คน และอีก 19 คน ให้ยกฟ้อง

ทั้งนี้ ทนายความของ “สุเทพ” บอกว่า จากเดิมที่เคยได้รับโทษคนละ 4-9 ปี แต่ได้รับการลดทาลงมาเหลือคนละ 1 ปี - 1ปีเศษ เนื่องจากการพิจารราในศาลชั้นต้นนั้นมองว่า เป้นการกระทำหลายกรรม โทษจึงสุง แต่ในชั้นอุทธรณ์ มองว่าเป็นการกระทำกรรมเดียว แต่เหตุต่อเนื่องกัน

ทุกคนได้รับการประกันตัวเพื่อไปสู้คดีในชั้นฎีกา โดยใช้หลักทรัพย์ รายละ 6-8 เเสนบาท พร้อมเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล โดยให้นำพาสสปอร์ตมาวางศาลไว้

ต้องติดตามต่อไปว่า ถึงที่สุดแล้ว คดีนี้ ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาอย่างไร เพราะออกได้หลายหน้า


กำลังโหลดความคิดเห็น