ข่าวปนคน คนปนข่าว
** ดูออกแหละ “โจ๊ก”หลังผิงฝา! ไล่ฟ้องสองบิ๊ก “ต่าย-เต่า” ขู่ฟ่อไปถึงนายกฯ
ก่อนที่จะถึงวันนัดชี้ชะตาที่ "เศรษฐา ทวีสิน" นายกรัฐมนตรี กำหนดประชุม ก.ตร. วันพุธที่ 26 มิ.ย.นี้ “โจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เคลื่อนไหวอย่างหนัก
ทางหนึ่ง ไล่ฟ้องเจ้าหน้าที่ชุดทำคดีตัวเองพัวพันเว็บพนัน โดยฟ้อง “บิ๊กเต่า” พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ข้อหาหมิ่นประมาท
อีกทางก็ไปยื่นร้องต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อเอาผิด “บิ๊กต่าย”พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ว่าเซ็นคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนโดยมิชอบ
แถมยังขู่ไปถึง “นายกฯเศรษฐา ทวีสิน” ในฐานะประธาน ก.ตร.
ไม่บอกก็ดูออกแหละว่า เพราะได้ยาจาก “วิษณุ เครืองาม” ฉายาเนติบริกร ชี้ช่องให้เดินหน้าใช้วิชาฟ้องๆ และร้องๆ ให้เรื่องราวมันยุ่งเหยิงเข้าไว้
ขณะที่ สองบิ๊กต.เต่า เต่าแรก “บิ๊กเต่า” พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ไม่ซีเรียส ยืนยันเป็นเจ้าหน้าที่ ทำงานตามพยานหลักฐาน ข้อเท็จจริง ไม่ได้รังแกใคร
ส่วนใครจะฟ้องก็เป็นเรื่องของ “โจ๊ก” ไม่ได้สนใจ ไม่ได้กังวล
แถมฟาดกลับเบาๆแต่เจ็บจี๊ด... เป็นเรื่องปกติที่ผู้ต้องหาจะฟ้อง รู้เพียงแค่ว่าทำงานเพื่อประชาชน เป็น “ตำรวจอาชีพ” ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ที่ประพฤติตัวไม่ดี ทุจริต สิ่งที่ทำอยู่นั้นเพื่อองค์กร และจะทำเช่นนี้ต่อไป
ขณะที่ ต.เต่าที่สอง “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พูดถึง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไปยื่นร้องต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อเอาผิดกรณีออกคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนโดยมิชอบว่า ก็เป็นสิทธิ์ของ “โจ๊ก” ตนเองก็จะใช้สิทธิ์แก้ต่างไป
“พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ” ซึ่งตอนนี้ลงจากเก้าอี้ รักษาการ ผบ.ตร. กลับมาทำหน้าที่เดิม รอง ผบ.ตร. เกมจากฝ่าย "โจ๊ก" ที่ปล่อยออกมาว่า จะถูกเช็กบิลแน่ หากพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้กลับ สตช.
“บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ระบุว่า ไม่เคยคิดว่าจะถูกเช็กบิล เป็นสิทธิ์ของแต่ละคนที่จะดำเนินการทั้งทางกฎหมายทางวินัยกับตัวเองได้อยู่แล้ว แต่ได้ถือปฏิบัติบนความสุจริตเป็นที่ตั้ง และทำเพื่อองค์กร
ดังนั้นการทำเพื่อองค์กรก็ต้องดูเรื่องกฎหมาย และข้อเท็จจริง ระเบียบ คำสั่งประกอบแล้ว ส่วนอะไรจะเกิดขึ้นก็พร้อมรับ
ส่วนที่มีการวิเคราะห์ว่า เหมือนตายเดี่ยวในรอบนี้ รอง ผบ.ตร. ถึงกับหัวเราะ และยืนยันว่า เกิดมาก็ต้องตาย ทุกคนเกิดมาต้องตาย ไม่มีใครหลุดพ้น ความตายเป็นธรรมะอย่างหนึ่ง!!
เมื่อความตายมาเยือน ก็ต้องพร้อมที่จะรับความตาย แต่ถ้าอยู่ในพื้นฐานของความสุจริตใจและความโปร่งใส ปฏิบัติตามหลักนิติธรรมเพื่อองค์กร ก็ไม่ต้องไปกลัวอะไร
นี่เป็นความเคลื่อนไหวของบิ๊กสีกากี ระหว่าง สองนายพล ต.เต่า “ต่าย-เต่า” ที่กลายเป็นคู่ที่ “โจ๊ก” อาฆาตไล่ฟ้องดะ
ถึงที่สุดแล้ว ซีรีส์ชุดตำรวจตัดผู้ต้องหา จะเป็นอย่างไรต่อไป น่าสนใจติดตามยิ่ง
** อนาถ!! กกต. รู้มีโกงเลือกสว. แต่ไม่มีปัญญาเอาผิด อ้างพวกนี้มีทั้ง อำนาจ ทุน และเครือข่าย
การเลือกสว.ระดับประเทศ ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้าย กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 26 มิ.ย.นี้ ที่ศูนย์ประชุมแพกฟอรั่ม เมืองทองธานี
เป็นการเลือกจากผู้เข้ารอบระดับจังหวัด 3,000 คน ให้เหลือ 200 คน ต้องมีคนผิดหวังถูกคัดออก 2,800 คน
แต่ใช่ว่า 2,800 คน ที่ต้องตกรอบนี้ จะมีไม่ความหมาย เพราะมีกระแสข่าวว่าได้มีคนมาติดต่อ ลอบบี้ “ซื้อเสียง” ให้เลือกบุคคลเป้าหมาย ในราคาเสียงละหลักแสนบาท หรือถ้าสามารถรวบรวมเสียงมาได้เป็นกลุ่มเป็นก้อน ก็จะมีราคาหลักล้านบาท
มีการตั้งข้อสังเกตว่า ผู้มีสิทธิ์เลือกสว.ในระดับประเทศที่มาจากต่างจังหวัด จำนวนหลายร้อยคน ได้เข้าพักโรงแรมเดียวกัน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานที่ ที่จัดให้มีการเลือกสว. นัยว่าเพื่อสะดวกในการเดินทางและสะดวกในการพบปะเจรจา ทำความคุ้นเคยกัน ง่ายต่อการคุมเสียง
เรื่องนี้ “แสวง บุญมี” เลขาธิการกกต. ซึ่งเปรียบเสมือนแม่งานในการบริหารจัดการ การเลือกสว.ครั้งนี้ ยอมรับว่า กลโกงต่างๆ ที่มีการพูดถึงกัน อย่างการรับจ้างสมัคร การฮั้ว การจ่ายเงินให้ลงคะแนน ให้ทรัพย์สิน ล้วนถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายว่าด้วยการเลือกสว.ทั้งสิ้น
แต่การจะจัดการกับกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ไม่ง่าย เพราะคนที่ทำมีทั้ง ความรู้ อำนาจ ทุน ทักษะ และยิ่งเป็นเรื่องการเมือง ก็จะมีเรื่องของ “เครือข่าย” เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งข้อมูลที่ กกต.ได้รับมา มีทั้งเบาะแส และผู้ร้องเรียน
ตามกฎหมายแล้ว ผู้ที่สมัครรับเลือกเป็นสว. จะต้องวางตัวเป็นกลาง ขณะเดียวกัน กฎหมายก็กำหนดห้ามนักการเมืองช่วยหาเสียงให้กับผู้สมัครสว. และ ผู้สมัครสว.ก็ห้ามให้ฝ่ายการเมืองเข้ามาช่วยเพื่อให้ได้รับเลือก ทั้งห้ามบริหารจัดการ ห้ามจัดตั้ง ห้ามให้ทรัพย์สินประโยชน์อื่นใด แต่ในทางการเมืองก็ไม่ง่าย เรียกว่า สมยอม สมประโยชน์กัน ทำให้ กกต.ทำงานยากขึ้นในการตคิดตามจับกุม
ขณะที่ “อิทธิพร บุญประคอง” ประธาน กกต. มองว่า การที่ผู้สมัคร สว. มาอยู่โรงแรมเดียวกัน 400 - 500 คน จะมองว่าเป็นเรื่องปกติก็ได้ เพราะใกล้ สะดวกในการดินทาง แต่ก็ไม่ปกติมาก เพราะเมื่อมีการรวมกลุ่มย่อมมีเรื่องที่ต้องสงสัย ซึ่งกกต.ได้จับตาดูมาตลอด
แต่เชื่อมั่นว่า ผู้สมัครที่จะมาปฏิบัติหน้าที่ในรัฐสภา ต้องมีเกียรติและศักดิ์ศรี ยึดมั่นในสิ่งที่ถูกกฎหมาย
ส่วนที่มีกลุ่มผู้สมัคร สว.อิสระ นัดพูดคุย แนะนำตัวกัน หรือล็อบบี้กัน ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาไม่ได้ผิดกฎหมาย!
จากท่าทีของ ทั้ง ประธาน กกต. และเลขาธิการ กกต. ตามที่กล่าวมาข้างต้น เหมือนคน “สิ้นหวัง” ที่จะจับทุจริตการเลือกสว.ครั้งนี้
ทั้งที่ กกต.ควรจะมี “ความกล้าหาญ” ให้เป็นที่ประจักษ์ ไม่ว่ากลุ่มทุนจะมีเงินมากแค่ไหน กลุ่มครองอำนาจล้นฟ้าอย่างไร หากมีการกระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกสว. หรือเลือกตั้งทั่วไป กกต.ก็ต้องดำเนินการเอาตัวมาลงโทษให้ได้ ให้การเลือกเป็นไปโดยบริสุทธิ์ ยุติธรรม ไม่ใช่แสดงความท้อแท้ สิ้นหวังอย่างนี้
หากการเลือกสว.ครั้งนี้ กกต.ยังคงใช้วิธีเดิมๆ แบบการเลือกตั้ง สส. คือ แม้จะมีการร้องเรียนเข้ามามากมาย แต่ก็จะประกาศรับรองไปก่อน แล้วค่อยสอยทีหลัง
ถ้าเป็นเช่นว่านี้ เราคงได้เห็นสว. ที่พร้อมจะซูเอี๋ยกับพรรคการเมือง และผู้ที่ครองอำนาจการเมือง ก็จะกินรวบทั้งสภาสูง สภาล่าง
ต้องไม่ลืมว่า หากพรรคการเมือง สามารถควบคุมวุฒิสภาไว้ในมือ การมีสองสภา ก็จะเหมือนมีสภาเดียว การออกกฎหมายต่างๆ ก็จะควบคุมให้เป็นไปตามความต้องการได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแก้กฎหมายออกเสียงประชามติ... พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่อาจรวม ม.112 หรือ การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ตามที่ฝ่ายการเมืองต้องการ
นอกจากนี้ ยังมีองค์กรอิสระอีกหลายองค์กร ที่กำลังรอให้ สว.ชุดนี้ มาให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูง เช่น ประธานศาลปกครองสูงสุด...อัยการสูงสุด...ประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลการรัฐธรรมนูญ ...กรรมการป.ป.ช. ...กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน และ ผู้ตรวจการแผ่นดิน
นี่จึงเป็นที่มา ว่าทำไมฝ่ายการเมืองต้องทุ่มเงินเข้ามาแทรกแซงการเลือกสว.ครั้งนี้ ขณะที่ กกต.กลับแสดงท่าที “หงอ” ต่อ อำนาจทุน อำนาจการเมือง