เมืองไทย 360 องศา
มีบางคนบอกว่าเวลานี้บ้านเรากำลังมีนายกฯสามคน คนแรกคือ นายเศรษฐา ทวีสิน คนถัดมาก็คือ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ส่วนคนหลังสุด คือนายทักษิณ ชินวัตร แม้ว่าทุกคนจะเข้าใจกันดีว่า นายกรัฐมนตรีตามนิตินัย คือ นายเศรษฐา แน่นอน แต่คนที่มีอำนาจสั่งการข้างหลัง กลับเป็นอีกคนหนึ่ง แน่นอนว่าย่อมหมายถึงนายทักษิณ หรือบางครั้งส่งผ่านมาทาง “ลูกเถ้าแก่” คือน.ส.แพทองธาร ซึ่งเวลานี้ทุกคนย่อมมองออกอยู่แล้ว
ขณะเดียวกัน หลังจากที่นายเศรษฐา ทวีสิน ถูกร้องถอดถอนจากกรณีแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีโดยมิชอบ เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าขาดคุณสมบัติ โดยล่าสุดศาลรัฐธรรมนูญได้สั่งให้จัดส่งเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมภายใน 15 วัน และนัดพิจารณาครั้งต่อไป วันที่ 10 กรกฎาคม
ศาลรัฐธรรมนูญได้มีการอภิปรายในคำร้องที่ประธานวุฒิสภาส่งความเห็นของสมาชิกวุฒิสภา 40 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบ มาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ได้นำความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่า นายพิชิต ขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเคยถูกศาลฎีกามีคำสั่งจำคุก เป็นเวลา 6 เดือน ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล เป็นบุคคลที่กระทำการอันไม่ซื่อสัตย์ สุจริต และมีพฤติกรรมอันเป็น
การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 ( 4) และ( 5)เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160(4)(5) หรือไม่ โดยศาลฯ เห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณาให้หน่วยงานหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องจัดทำความเห็นและจัดส่งสำเนาเอกสารหลักฐานตามประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือเพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และกำหนดและพิจารณาต่อไปในวันพุธที่ 10 ก.ค.67
ขณะที่นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญ นัดพิจารณาคดี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะมีผลอะไรออกมาหรือไม่ ว่า ไม่ได้พิจารณาในวันนี้ แต่ศาลให้ยื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานต่อศาลที่ครบกำหนด เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ลักษณะเดียวกับคดีของพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นการเริ่มพิจารณา จะมานั่งประชุมพิจารณาและถกเถียงกัน ผลจะยังไม่เกิดขึ้นใน 1-2 วันนี้ ส่วนพยานที่ส่งไปเพิ่มเติมมีเพียง 1 คน คือ นางณัฐฏ์จารี อนันตศิลป์ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพราะเป็นบุคคลที่รู้กระบวนการทั้งหมด
ถามว่า เท่าที่ตรวจดูคำชี้แจงของนายกฯมีความเป็นไปได้ที่นายกฯจะรอด ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่มีความเห็น หากจะให้บอกว่าไม่รอดแน่ๆ ก็จะประหลาด หรือจะให้บอกว่ารอดแน่ๆ ก็พูดไม่ได้ เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ในกระบวนการของศาล เพื่อให้ศาลสบายใจ ส่วนรายละเอียดคำชี้แจงเดี๋ยวคงมีการเปิดเผยกันออกมาเอง ไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไร เพียงแต่ในชั้นนี้ศาลยังไม่ได้พิจารณา เราจะมาพูดแถลงนอกศาลไม่ได้
เอาเป็นว่าสำหรับคดีที่เกี่ยวกับเรื่องจริยธรรมของนายกรัฐมนตรี นั้นคงต้องว่ากันอีกสักพักใหญ่ เพราะในวันที่ 10 กรกฎาคม เป็นวันที่ศาลรธน. นัดพิจารณา ยังไม่รู้ว่าจะออกมาแบบไหน เรียกว่ายังลากยาวได้อีก
แต่อีกมุมหนึ่ง การที่นายเศรษฐา ทวีสิน ติดคดีแบบนี้ มันเหมือนกับมี “ชนัก” ปักหลั งไปไหนมาไหนไม่สะดวก อีกทั้งจากเดิมที่สังคมรับรู้กันว่า “ไม่มีอำนาจแท้จริง” เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอเจอคดีแบบนี้ มันยิ่งไปกันใหญ่ เพราะคดีที่ถูกยื่นถอดถอนในครั้งนี้ มันเกี่ยวพันไปถึงอนาคตของรัฐบาล และมีผลถึงขั้นเปลี่ยนตัวนายกฯ ไปเลยก็ได้ แม้ว่ายังต้องรออีกพักใหญ่ แต่ทุกอย่างเวลานี้ถือว่าห้าสิบห้าสิบ ต้องลุ้นแบบไม่เป็นสุข
จากเดิมที่รับรู้กันว่าตัวเขา “ไม่ใช่ศูนย์กลางอำนาจ” แต่ตัวจริงกลับอยู่ที่ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” ที่พำนักของ นายทักษิณ ชินวัตร แม้ว่ายังอยู่ในสถานะนักโทษก็ตาม รวมไปถึงตกเป็นจำเลยในคดีตาม มาตรา 112 ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะทำตัว “มีบารมีเหนือทุกคน” อยู่แล้ว สามารถชักใยอยู่หลังม่านตลอดเวลา ทั้งเรื่องการเมือง และเศรษฐกิจ ล้วนต้องได้รับ “ไฟเขียว” จากเขา รวมไปถึงการเดินสายเพื่อโชว์ศักยภาพ โชว์พลังให้ทุกคนได้เห็น
แต่ที่ต้องจับตาก็คือ บทบาทที่ชัดเจนขึ้นก็คือ การเข้ามา“คุมทีมเศรษฐกิจ”ของรัฐบาล เพราะสุดมีรายงานชัดเจนว่า นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เข้าพบนายทักษิณ ชินวัตร โดยตามรายงานที่ระบุออกมาว่า เข้าพบเมื่อ วันที่ 17 มิถุนายน เป็นการเข้าพบในตอนเช้า หลังจากพบว่ารถตู้ของรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จอดอยู่ในบ้านจันทร์ส่องหล้า
จากนั้นในเวลาต่อมา นายพิชัย ก็เดินทางมาที่ทำเนียบรัฐบาล โดยเมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามถึงการยกเลิกการประชุมคณะกรรมการด้านการคุ้มครองการลงทุนระหว่างประเทศ เป็นเพราะมีเรื่องเร่งด่วนอะไร หรือไม่ ซึ่งนายพิชัย กล่าวว่า ไม่มีอะไรครับ นายกฯท่านเป็นโควิด
ส่วนการเดินทางเข้าพบนายทักษิณ ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า นายพิชัย กล่าวในลำคอว่า หืม ก่อนจะพูดว่า อ๋อ และหัวเราะ พร้อมบอกว่า ผมไปธุระมา ส่วนได้คุยเรื่องงบประมาณ หรือไม่ นายพิชัย ไม่ตอบคำถามดังกล่าว และเดินขึ้นลิฟต์ ไปทันที
ขณะที่ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ก็มีรายงานว่า เขาก็ได้เข้าพบนายทักษิณ ชินวัตร เช่นเดียวกัน โดยนายเผ่าภูมิ กล่าวว่า เป็นเรื่องส่วนตัว และจะชี้แจงเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับสาธารณะเท่านั้น แต่ก็ไม่ปฏิเสธเรื่องการเข้าพบนายทักษิณ
จากความเคลื่อนไหวดังกล่าว ทำให้เชื่อได้ว่า นายทักษิณ ชินวัตร ได้เรียก “ทีมคลัง” ของรัฐบาลเข้าพบ และยังเป็นการเข้าพบก่อนการพิจารณา ร่าง งบประมาณรายจ่ายประจำปี 68 ในสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 19 มิถุนายน เพียงไม่กี่ชั่วโมง
ขณะเดียวกันภาพที่เกิดขึ้นทำให้มองภาพชัดว่า เขาได้ทำหน้าที่เป็น “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” หรือ “ผู้สั่งการ” ทางเศรษฐกิจ ของรัฐบาลอย่างเต็มตัวแล้ว หลังจากก่อนหน้านี้เป็นภาพในทางการเมือง ที่เกี่ยวกับตัวบุคคล และเชื่อมโยงไปถึงการแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญ
ก่อนหน้านี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่ารัฐบาลของ นายเศรษฐา ทวีสิน ไม่มีหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ จนกระทั่งมีการแต่งตั้งนายพิชัย ชุณหวชิร เป็นรองนายกฯ ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จึงเป็นที่คาดหมายว่า เขาน่าจะมาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และขับเคลื่อนนโยบายสำคัญ โดยเฉพาะดิจิทัลวอลเล็ต แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังไม่มีคำสั่งแต่งตั้งอย่างเป็นทางการออกมาสักที มีแต่การประชุมรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพียงครั้งสองครั้ง เท่านั้น
แต่การที่ นายทักษิณ ชินวัตร เรียกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยรัฐมนตรีช่วยว่าการ หรือ “ทีมคลัง” เข้าพบแบบนี้ ทำให้มองเห็นได้ชัดเจนว่า นายทักษิณ กำลังทำหน้าที่เป็น“หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” อย่างเต็มตัว แต่อีกด้านหนึ่งมันก็เหมือนกับว่า เขาไม่ไว้ใจใคร หรือ “ไม่ได้เรื่อง” จึงต้องลงมากำกับด้วยตัวเอง เพราะงานนี้หากพลาดหมายถึงหายนะกันทั้งขบวน เพราะเวลานี้เสียงวิจารณ์รัฐบาล พรรคเพื่อไทย และตัวเขาเริ่มดังมารอบทิศ ทุกอย่างออกมาทางลบ โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ คำว่า “แพงทั้งแผ่นดิน” กำลังย้อนกลับเข้าหาตัวเอง
ดังนั้นงานนี้ถึงได้บอกว่ามันเดิมพันสูง จึงต้องลงมากำกับเอง สั่งการเอง โดยไม่ต้องแคร์ใครอีกต่อไปแล้ว เพราะมันมีผลต่ออนาคตข้างหน้า ในท่ามกลางความไม่แน่นอน การเคลื่อนไหวช่วงชิงเก้าอี้นายกฯ ของ “ขาใหญ่บ้านป่า” ที่พร้อมทะลวงเข้าตลอดเวลา และไหนจะต้องต่อสู้กับพรรคก้าวไกล ที่กลายเป็นคู่แข่ง กำลังขึ้นหม้อในเวลานี้ เมื่อทุกอย่างตึงเครียด ก็ต้องลงมือเอง !!