xs
xsm
sm
md
lg

“ไหม” ประชด รบ.กล้าหาญตั้งงบขาดดุลสูงในรอบ 36 ปี ทุ่มเงินดิจิทัลมากเกิน โนสนโนแคร์ทำประเทศเสี่ยง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ศิริกัญญา” ซัด รบ.กล้าหาญมาก ตั้งงบขาดดุลสูงสุดในรอบ 36 ปี เหตุทุ่มงบดิจิทัลวอลเล็ตมากเกิน แต่ยังไร้เจ้าภาพ ทำตัวโนสนโนแคร์ให้ประเทศอยู่ในภาวะเสี่ยง ข้องใจใช้งบกลางแบบนี้ผิดมาตรา 22 หรือไม่ ปลุก ขรก.ซื่อตรงหลักการ


วันนี้ (19 มิ.ย.) นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ว่า ประเทศไทยได้ทำลายสถิติทางการคลังผ่าน 5 ตัวชี้วัด ประกอบด้วย

การตั้งงบขาดดุลสูงสุดในรอบ 36 ปี หลายประเทศมีปัญหาการคลังเรื้อรัง ซึ่งได้กำหนดในกฎหมายไว้ว่า จะต้องกู้ชดเชยขาดดุลเกิน 3% ของ GDP แต่ปีงบฯ 68 พบว่า มีการกู้ชดเชยขาดดุล 4.5% ของ GDP ขณะที่ปี 67 พบว่า จะทำให้งบขาดทุนต่อ GDP สูงถึง 4.3% เราไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนในปีงบประมาณปกติที่ไม่มีวิกฤตเศรษฐกิจ ถือเป็นความกล้าหาญมาก

รัฐบาลเริ่มเสพติดการขาดดุล เพราะเป็นการกู้เต็มเพดานทุกปี ตั้งแต่ปี 57 เป็นต้นมา ขณะที่ในช่วงวิกฤตโควิดมีการกู้เต็มเพดาน 100% ปี 67 และปี 68 มีการกู้สูงถึง 99% ของเพดานที่ให้กู้ได้ เมื่อเราใช้จ่ายเกินตัวและหาเงินไม่ทัน รัฐบาลที่ใช้มือเติบแบบนี้จะพาประเทศไปเสี่ยงด้วย การกู้เต็มเพดานเช่นนี้เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เราจะไม่เหลือพื้นที่และงบประมาณรองรับสถานการณ์ได้

“รัฐบาลทำตัวโนสนโนแคร์ ทำให้ประเทศไปอยู่ในสภาวะเสี่ยงเพียงเพื่อทำให้มีเงินมากพอที่จะไปทำโครงการเดียว นั่นคือดิจิทัลวอลเล็ต ทำให้เราต้องกู้เต็มเพดานสองปีติดต่อกัน”

ตัวชี้วัดที่ 2 รัฐบาลทำลายสถิติสัดส่วนรายจ่ายลงทุนสูงสูงสุดในรอบ 17 ปี นายกรัฐมนตรีภูมิใจกับเรื่องนี้ แต่ไม่ใช่เรื่องน่ายินดี เราอยากเห็นการใช้จ่ายที่นำไปสู่การลงทุนมากกว่าการบริโภคหรือรายจ่ายประจำปี 68 พบสัดส่วนรายจ่ายลงทุนสูงถึง 24% เพราะรวมกับงบดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่ง 80% ของงบประมาณในงบกลาง เป็นรายจ่ายลงทุน การยัดงบเช่นนี้ทำให้รายจ่ายลงทุนดูโปร่ง รัฐบาลจงใจตัดงบรายจ่ายประจำบางตัวเพื่อเปลี่ยนให้เป็นรายจ่ายลงทุน มีรายจ่ายประจำหลายตัวได้งบต่ำกว่าที่ต้องใช้ รวมแล้วคิดเป็นเงินประมาณ 167,000 ล้านบาท

สำหรับรายจ่ายประจำสำคัญที่ถูกตัด คือ งบชำระดอกเบี้ย ขาดไปเกือบ 95,000 ล้านบาท บำนาญข้าราชการขาดไป 38,000 ล้านบาท ทั้งที่เพิ่งประกาศขึ้นบำนาญข้าราชการ ส่วนงบรักษาพยาบาลขาดแค่ 6,700 ล้านบาท ค่าชดเชยผู้ประกอบการตามมาตรการสนับสนุนรถ EV จ่ายไม่ครบเป็นปีที่สองขาดอยู่ 17,000 ล้านบาท กองทุนประชารัฐก็ช็อตเงิน 5,000 ล้านบาท

พรรคก้าวไกล เคยถูกกล่าวหาว่าจะตัดบำนาญข้าราชการ แต่คนที่ตัดจริงคือรัฐบาลนี้ บอกว่า หากไม่พอให้ไปใช้งบกลาง ถ้างบกลางยังไม่พอให้ไปใช้เงินคงคลัง เรื่องนี้ถือเป็นการจัดอันดับความสำคัญ ปีที่แล้วตนเองเคยเตือนไว้ว่าอย่าทำพลาดเหมือนรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะงบประมาณมักถูกตั้งไว้ไม่เพียงพอ ที่ผ่านมา มีการจัดสรรงบผิดพลาดไป 2 ปี ทำให้ต้องรัฐบาลต้องใช้เงินชดใช้เงินคงคลังเกือบ 1.2 แสนล้านบาท ซึ่งปี 67 งบชำระดอกเบี้ยได้รับจัดสรรไม่เพียงพอ ต้องใช้เงินคงคลังสูงถึง 39,000 ล้านบาท คาดว่า น่าจะมีเพิ่มอีก อย่างไรก็ตาม พบว่า งบบำนาญข้าราชการ และค่ารักษาพยาบาล ตั้งงบประมาณไว้ไม่เพียงพอจนกว่าจะสิ้นปีงบ 67 สูงถึง 6 หมื่นล้านบาท


ปีนี้รัฐบาลจัดชำระคืนเงินต้น สำหรับหนี้สาธารณะ 4% ของงบประมาณสูงที่สุดในรอบ 20 ปี เพื่อขยายกรอบการกู้ขาดดุล เพื่อโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ขณะที่หนี้สาธารณะต่อจีดีพี สูงสุดในรอบ 29 ปี พบว่า ในระยะเวลาหนึ่งเดือนหนี้สาธารณะขยับขึ้นทั้งแผง โดยคาดว่า ในปี 70 หนี้สาธารณะต่อ GDP จะพุ่งสูงขึ้นเกือบ 69% ซึ่งเพดานอยู่ที่ 70% เป็นความพยายามส่งมอบหนี้สาธารณะก้อนใหญ่ให้กับรัฐบาลต่อไปหรือไม่ แม้จะไม่เจอวิกฤตเศรษฐกิจ แต่จะต้องขยายเพดานหนี้สาธารณะจาก 70% เป็นเท่าไรไม่รู้ เพียงเพื่อโครงการดิจิทัลวอลเล็ต

สัดส่วนดอกเบี้ยต่อรายได้ก็สูงที่สุดในรอบ 14 ปี ทำสถิติใหม่ไปเรื่อยๆ ทุกปี ปรับลดเงินในโครงการอื่นน้อยลงไปเรื่อยๆ ดิจิทัลวอลเล็ตไม่ใช่ทำแค่ครั้งเดียวแล้วจบ แต่ผลกระทบจะอยู่ต่อไปในระยะยาว ทั้ง 5 ตัวชี้วัดสวยงามอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลัง แต่เมื่อเกิดขึ้นพร้อมกันมันคือ ภาวะเสี่ยงที่จะทำให้ประเทศไม่มีความพร้อม เหมือนคนเป็นภูมิคุ้มกันไม่ดี เมื่อมีอะไรมากระทบก็เจ็บป่วยรุนแรง ประเทศที่ดีต้องมีการเตรียมความพร้อมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น

นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า งบประมาณปีนี้เพิ่มขึ้นมากแต่ใช้ได้จริงแค่ 1 ใน 4 เพราะมีรายจ่ายอื่นที่ไม่สามารถตัดหรือลดได้ เช่นค่าใช้จ่ายบุคลากรที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 70,000 ล้านบาท งบชำระหนี้สูงขึ้น 412,000 ล้านบาท งบผูกพันลดลง 280,000 ล้านบาท ดิจิทัลวอลเล็ต 157,200 ล้านบาท งบคงเหลือจริงเหลือไม่ถึง 1 ล้านล้านบาท ทางออกเดียว คือ เราต้องเพิ่มรายได้ แสดงศักยภาพในการหาเงินให้กับประเทศ

รัฐบาลมีความพยายามขับเคลื่อนนโยบายทั้ง 142 นโยบายย่อย ภายใต้ 8 เสาหลัก 6 ฐานราก โดยสำนักงบประมาณได้มารายงานในห้องคณะกรรมาธิการ ว่า งบประมาณปี 68 สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล 2.5 ล้านล้านบาท เท่ากับว่า มีนโยบายที่ไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล 1.2 ล้านล้านบาท เราเห็นความพยายามที่จะขับเคลื่อนแต่สั่งอย่างเดียว

142 นโยบายที่จำเป็นต้องทำ ไม่ได้ให้แนวทาง การแถลงนโยบายของนายกรัฐมนตรีก็ล่องลอยจับต้องไม่ได้ สุดท้ายโดนข้าราชการย้อมแมวเอาโครงการเดิมที่มีมาในสมัยรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ มาแปะป้ายใหม่ว่าเป็นนโยบายของรัฐบาลเศรษฐา ถ้ารัฐบาลเคลมว่างบประมาณทุกบาทสอดคล้องกับนโยบาย แต่เราเห็นโครงการใหม่น้อยมาก เมื่อดูโครงสร้างงบปี 67 เทียบกับปี 68 แทบไม่มีอะไรต่างกันเป็น 6 ยุทธศาสตร์เดิม แผนงานจากเดิมมี 68 แผนงาน ปีนี้เพิ่มมาเป็น 69 แผนงาน โครงการใหม่มีเพียง 163 โครงการ คิดเป็นเม็ดเงิน 8,908 ล้านบาท

งบประมาณปี 67 ยังมีข้ออ้างว่ารัฐบาลเข้ามาช้า จัดงบประมาณไม่ทัน ขอให้รอบปี 68 เพื่อแสดงศักยภาพจุกๆ สุดท้ายก็เหมือนเดิม 163 โครงการข้างต้นอาจจะไม่ใช่โครงการใหม่ อาจจะเป็นโครงการที่จบไปแล้วตั้งโครงการใหม่ หรือโครงการเดิมในหน่วยงานใหม่

“ที่ผ่านมา รัฐบาลพูดเยอะว่าจะทำอะไร แต่เรายังไม่เห็นแผนชัดเจน สิ่งที่เป็นรูปธรรมอย่างเดียว คือ งบประมาณ การแถลงงบประมาณ คือ การแถลงนโยบายประจำปี ถ้าไม่เห็นว่างบประมาณมีอะไรจะทราบได้อย่างไรว่าที่ท่านฝอย แถลง พูดไปเรื่อยเกิดขึ้นจริง มีการขับเคลื่อนจริง”

นางสาวศิริกัญญา กล่าวว่า เลวร้ายที่สุด คือ 8 วิสัยทัศน์ IGNITE THAILAND ไม่ปรากฏเป็นรูปธรรมในงบปี 68 มีข้ออ้างมากมาย หากท่านจะผลักดันนโยบายของตนเองให้จริงจังให้ได้สักเรื่องหนึ่งของการผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะดีมาก เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่แค่งบประมาณ หรือภาระทางการคลัง แต่รวมถึงสมาธิของคณะรัฐมนตรีที่หายไปถูกทุ่มให้กับโครงการเดียว

เราต้องลุ้นต่อไปว่าโครงการนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ พบว่า งบประมาณในโครงการนี้เป็นการกู้เต็มจำนวน ไม่มีการบริหารจัดการ ทั้งยังหาเจ้าภาพไม่ได้ การใช้งบกลางแบบนี้ผิดมาตรา 22 หรือไม่ เป็นความผิดพลาดของการบริหารจัดการที่ป่านนี้ยังหาเจ้าภาพไม่ได้ ทั้งยังมีการไหลกลับไปกู้ในงบปี 67 เพิ่ม

“ฝากไปยังข้าราชการประจำทุกคนที่ยังซื่อตรงต่อหลักการที่ได้ร่ำเรียนมา หากพบว่ามีความผิดปกติขอให้ส่งหนังสือท้วงติงอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรต่อความไม่ชอบมาพากล ทุกอย่างจะสายเกินไป” นางสาวศิริกัญญา ทิ้งท้าย


กำลังโหลดความคิดเห็น