ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ดูวัวให้ดูหาง ดู “หนู-อนุทิน” ให้ดูอุดมการณ์-จุดยืน (ไม่มี)
กรณีพรรคเพื่อไทยโดย “หมอสมศักดิ์” สมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข กำลังจะนำ“กัญชา” กลับไปเป็นยาเสพติด
พรรคภูมิใจไทยโดย “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล พรรคที่ต่อสู้เพื่อปลดล็อก จนกระทั่งเป็นนโยบาย “กัญชาเสรี” แท้ๆแทนที่จะต่อสู้ ยื้อยุดหยุมหัวเพื่อไทยแสดงจุดยืน กลับแสดงท่าที “หงอไม่ยอมหัก” ที่พูดค้านโต้แย้ง ก็แค่พอเป็นพิธี
“อนุทินการละคร” ที่เห็น จึงฟันธงตรงๆ ลงไปว่าที่ เสี่ยหนู และพรรคภูมิใจไทย “ยอมหงอไม่ยอมหัก” ส่อไปในทางเทกัญชาทิ้งนั้น ก็เพียงเพราะว่า ต้องการอยู่ร่วมรัฐบาล ต้องการรักษาตำแหน่งทางการเมืองเอาไว้ต่อไป
เรื่องนี้วันก่อนเพิ่งพูดไปหยกๆ แว่วมาว่า เมื่อคืนวานนี้ “เสี่ยหนู” ไปปรากฏตัวที่ร้านอาหารปักษ์ใต้ สาขาสอง ของ “เต้น” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ตัวตึงคนเสื้อแดง และพรรคเพื่อไทย
คนก็สงสัยกันว่า จู่ๆ “อนุทิน” ที่ชอบกินเกาเหลา แกงเขียวหวาน เกิดอยากจะเปลี่ยนรสชาติลิ้มรส แกงไตปลา คั่วกลิ้งขึ้นมา มันน่าจะต้องมีวาระอะไรซ่อนเร้นเป็นแน่
กระทั่งถึงบางอ้อ เพราะ “เต้น-ณัฐวุฒิ” เปิดสาขาสอง เลยฉลองด้วยการเชิญ "นายใหญ่" อาทิ “ทักษิณ ชินวัตร” และ บริวารทั้งหลาย รวมถึง “หมอสมศักดิ์” สมศักดิ์ เทพสุทิน มาร่วมประเดิม
เห็นว่า ที่ร้านของเต้น ในคืนฝนตกคืนนั้น มีคนหลั่งไหลมารวมตัวกันมากหน้าหลายตา “เสี่ยหนู” ก็เลยต้องไหลมากะเขาด้วย
นี่จะเรียกว่า เรื่องบังเอิญคงไม่ใช่ ที่ “เสี่ยหนู” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จะตั้งใจมากินอาหารใต้ แล้วพานพบ “ทักษิณ” และ “สมศักดิ์” เข้า
งานนี้ “อนุทิน” น่าจะตั้งใจมารอพบทักษิณ และสมศักดิ์ ด้วยแหงๆ เนื่องจากคงเกรงว่า การแสดงละครบทค้าน เอากัญชากลับไปเป็นยาเสพติดของตัวเอง และพรรค จะทำให้ ทักษิณ ชินวัตร และ เพื่อไทย ไม่เข้าใจ จะพาลโกรธ กลายเป็นปมขัดแย้งระหว่างเพื่อไทย-ภูมิใจไทย
“เสี่ยหนู” ต้องการปรับความเข้าใจให้ตรงกัน เพราะฉะนั้น หงอได้หงอ ให้ทำอะไรก็ทำ ขออย่างเดียวให้ภูมิใจไทย ได้ไปต่อ
ลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยประกาศ แม้แต่วันที่ร่วมแถลงจัดตั้ง และวันแถลงนโยบายรัฐบาล ก็ยังมีสัญญาของพรรคร่วม ที่จะเดินหน้านโยบายกัญชาเสรี เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ และเศรษฐกิจ
มาวันนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า นั่นเป็นสัญญาในสายลมลวง มีแต่ “ดีลลับ-ดีลLOVE” ระหว่างอนุทินกับทักษิณ ที่เป็นของแทร่!
หากจะถามว่า “อนุทิน” เป็นนักการเมืองอย่างไร ? ทำไมถึงกล้าทิ้งสัญญากัญชาเสรี คำตอบมีอยู่แล้วใน ดีลลับ-ดีลLOVE ที่ว่า
ตลอดเส้นทางการเมืองของ “อนุทิน” ความเป็นลูกเจ้าสัว เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ติดตัวมา แม้จะเป็นนักการเมือง และหัวหน้าพรรคแล้วก็ตาม ก็ยังไม่ทิ้งความลั๊ลลา
“อนุทิน” เล่นการเมืองแบบคุณหนู ทำอะไรก็ตาม ขอให้ตัวเองอยู่ในเซฟโซนเป็นพอ พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อตำแหน่ง ทุกวันนี้ยังเรียก “ทักษิณ”ว่า“นายทุกคำ”
“เสี่ยหนู” พินอบพิเทา “ทักษิณ” แค่ไหนไม่ต้องเอ่ยถึง ก้มกราบหน้าตักคลานเข่าเข้าหาทำได้หมด เหลืออย่างเดียวไม่ได้ก้มกราบที่เท้าเท่านั้น หวังเพียงอีกฝ่ายให้อยู่ร่วมรัฐบาล
ทว่า ทักษิณ คิดอย่างไร? จะเห็นแก่แค่การแสดงละครอ่อนน้อมของอนุทิน หรือ ?
ประเด็นนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดของพรรคเพื่อไทย โดยตั้งใจหักหน้าพรรคภูมิใจไทย ว่ากันว่า นี่คือปฏิบัติการของทักษิณ เริ่มเอาคืนภูมิใจไทย และ “เนวิน ชิดชอบ” แล้วเชื่อว่าจะยังมีอะไรตามมาอีกแน่นอน
“อนุทิน” จำไม่ได้เชียวหรือว่า “เนวิน” และพรรคภูมิใจไทย เคยทำอย่างไรกับ “ทักษิณ” คิดว่าทักษิณจะลืมวลีอมตะ “มันจบแล้วครับนาย” ได้หรือ
ความแค้นฝังรากลึก ให้รอมาสิบปีแก้แค้น ก็ไม่สาย!
วันนี้อำนาจรัฐอยู่ในมือของทักษิณ จะบีบก็ตาย จะคลาย ก็รอด
“ลุงโทนี่” แค่ส่งซิกให้ “หมอสมศักดิ์” จัดการเรื่องกัญชากลับเข้ายาเสพติด แค่นี้ก็ด้อยค่า ฆ่าพรรคภูมิใจไทย เป็นการหยั่งเชิง ซึ่งก็ทดสอบได้ว่า “อนุทิน” และภูมิใจไทย บ่มิไก๊ แถม “หงอ” อีกต่างหาก
เพราะฉะนั้นแล้ว หากจะบอกว่า “อนุทิน” เป็นนักการเมืองที่ไม่มีอุดมการณ์ ไร้จุดยืน ก็ไม่ผิดนัก
“อนุทิน” คิดแค่ผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง ลืมไปว่า คนเราหากไม่มีซึ่งศักดิ์ศรี ก็อยู่มิสู้ตายจะดีกว่า
เพราะมนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีจุดยืน
คนทุกคนในสังคม ทุกสาชาอาชีพ แม้แต่คนทำงานต้อยต่ำ เก็บขยะ กวาดถนน เขาก็มีศักดิ์ศรี มีจุดยืน จึงเรียกว่า เป็นผู้ประเสริฐ ใครก็ด้อยค่าไม่ได้
วันนี้ธาตุแท้ของ “อนุทิน” ย่อมเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคน
โบราณว่า ดูวัวให้ดูหาง ดู “อนุทิน”ให้ดูอุดมการณ์ และจุดยืน ซึ่งปรากฏว่า...ไม่มี!!
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้เอง.
** เด้ง 60 วัน 2 บิ๊กตำรวจ ปิดบัญชี “โจ๊ก” ส่วน “บิ๊กต่อ” กลับ สตช.
เวลาผ่านไปไว เผลอแป๊บเดียว จะครบรอบ 2 เดือนแล้ว ที่ 2 บิ๊กตำรวจ โดนเด้งฟ้าผ่าไปเข้ากรุ
โดย “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี เซ็นคำสั่งเมื่อวันที่ 20 มี.ค.67 ให้ “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุวิมล ผบ.ตร. และ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เข้ามาช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี เป็นเวลา 60 วัน
พร้อมกันนี้ก็แต่งตั้ง คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ชุดของ “พล.ต.อ.วินัย ทองสอง” ตรวจสอบทุกข้อขัดแย้ง ที่ “บิ๊กต่อ” กับ “บิ๊กโจ๊ก”สาดโคลน กล่าวหากันไปมา
แม้วันนี้ คณะกรรมการชุดของ “พล.ต.อ.วินัย ทองสอง” ยังไม่ได้สรุปผลสอบอย่างเป็นทางการ แต่ก็เคยเปิดเผยผลสอบเบื้องต้นว่า พยานหลักฐานที่คณะกรรมการสอบสวนรวบรวมได้ สอดคล้องกับศาลที่ออกหมายจับ “บิ๊กโจ๊ก”!!
และด้วยมูลเหตุนี้ ทำให้ “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รักษาการ ผบ.ตร. ตัดสินใจ เซ็นคำสั่งให้ “บิ๊กโจ๊ก” ออกจากราชการไว้ก่อน เมื่อวันที่18 เม.ย. ภายใต้การเห็นชอบของนายกรัฐมนตรี
เจอไม้นี้ “บิ๊กโจ๊ก” ก็อาละวาด ฟาดงวงฟาดงา ยื่นร้องเรียนไปทั่ว ว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม
ถึงขนาดยื่นฟ้อง “เศรษฐา ทวีสิน”และกล้าพูดว่า “เศรษฐา” ถูกหลอก!!
ยุทธศาสตร์หนึ่งที่ “บิ๊กโจ๊ก” งัดมาใช้ควบคู่ไปกับการยื่นร้องเรียนคือ ข้าจะไม่จมน้ำตายไปคนเดียว ... “บิ๊กโจ๊ก” ส่งม้าใช้อย่าง “ทนายตั้ม” ษิทรา เบี้ยบังเกิด ให้ออกโรงลุยกับ “บิ๊กต่อ” อย่างต่อเนื่อง บอกว่าเป็นการ “แฉเพื่อชาติ”
แต่คนทั้งเมืองก็รู้ว่า การออกมาวิ่งวุ่นของ “ทนายตั้ม” นั้นมันไม่ใช่การ “แฉเพื่อชาติ” แต่เป็นการ “แฉเพื่อลูกพี่โจ๊ก”
“ทนายตั้ม” มอบหลักฐาน “เส้นเงิน” จากเว็บพนันออนไลน์ ที่ไหลมาถึงคนรอบกาย “บิ๊กต่อ” โดยเฉพาะภรรยาของ บิ๊กต่อ
ตั้งใจให้เป็นไม้ตายที่จะฉุด “บิ๊กต่อ” ให้จมน้ำไปพร้อมกับ “บิ๊กโจ๊ก” ลูกพี่ ตามเป้าหมาย!!
แต่หลักฐานเส้นทางการเงินที่ “ทนายตั้ม” เอามาแฉนั้น ต้องใช้เวลาในการตรวจสอบว่าเป็นเรื่องจริงมากน้อยแค่ไหน เพราะเป็นที่คาดหมายกันได้ว่า ที่มาของหลักฐานต่างๆนั้น มาจากเครือข่าย “บิ๊กโจ๊ก”นั่นเอง
สำหรับเส้นเงินของทั้งสองบิ๊กนั้น จะเห็นว่า เส้นเงินของ “บิ๊กโจ๊ก” นั้น พนักงานสอบสวนเริ่มที่การรวบรวมพยานหลักฐานตั้งแต่ปีก่อน เพื่อจับกุมเว็บพนัน Netflix ของเจ้าแม่เว็บพนัน “มินนี่” และก็เว็บ BNK Master ไม่ใช่การเริ่มตรวจสอบไปที่ตัว “บิ๊กโจ๊ก”
พอไล่เส้นทางการเงินที่ทิ้งร่องรอยไว้ในเว็บพนันทั้งสองเครือข่าย จึงพบในเวลาต่อมาว่า มีเส้นเงินที่ไหลจากเว็บพวกนี้ ไปถึงนายตำรวจรอบเอว “บิ๊กโจ๊ก” เป็นรายได้เสริมที่อู้ฟู่มากกว่าเงินเดือนหลายเท่า
เงินพวกนี้ ยังใช้ในการขับเคลื่อนทีมงานของ “บิ๊กโจ๊ก” ในการทำคดี โดยแต่ละปี บิ๊กโจ๊ก จะใช้เงินนอกระบบถึง กว่า 90 ล้านบาท
ซึ่งตัวเลขมากมายขนาดนี้ ยังเป็นแค่ไม่ถึง 10% ของเม็ดเงินที่ไหลเข้ามา ให้ถลุงกันจนช่ำ
แต่ที่เป็นหลักฐานเด็ดสุดในมือพนักงานสอบสวน ก็คือ การทำบัญชีรายรับรายจ่ายเงินนอกระบบพวกนี้ โดยฝีมือของตำรวจพ่อบ้านของบิ๊กโจ๊ก อย่าง “พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ”
บัญชีดังกล่าว ถูกบันทึกไว้ในคอมพิวเตอร์ของ “พ.ต.ท.คริษฐ์” อย่างละเอียดยิบ ว่ามีการนำเงินส่วยเว็บพนัน ไปแจกจ่ายให้ใครบ้าง ใช้จ่ายอะไรบ้าง
จริงๆ แล้วไม่น่าจะมีใครคิดทำบัญชีอย่างละเอียดขนาดนี้ แต่เป็นเพราะ “บิ๊กโจ๊ก” ต้องการควบคุมและตรวจสอบทุกเม็ดว่า จะไม่มีลูกน้องหน้าไหน กล้าทรยศ อมเงินไปใช้
อีกทั้งเป็นความย่ามใจของ “บิ๊กโจ๊ก” ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ วันที่ตำรวจตัดสินใจส่งกำลังคอมมานโดบุกบ้าน ไปยกคอมพิวเตอร์ของ “พ.ต.ท.คริษฐ์” มาตรวจสอบ แล้วก็เจอแจ็กพอต หลักฐานการทำบัญชีดังกล่าว
มีรายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลว่า เนื่องจากการตรวจสอบเส้นทางการเงิน ต้องใช้เวลาวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน ดังนั้นเวลา 60 วัน นับว่ายังไม่เพียงพอที่จะตรวจสอบ “บิ๊กต่อ”
จึงมีโอกาสสูง ที่ “บิ๊กต่อ” จะถูกส่งตัวกลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กลับมานั่งในตำแหน่ง ผบ.ตร. ตามเดิม
เช่นเดียวกับ “บิ๊กต่าย” ก็จะหมดหน้าที่จากตำแหน่งรักษาการ ผบ.ตร. กลับไปนั่งเป็น รอง ผบ.ตร. ตามเดิม
ส่วน “บิ๊กโจ๊ก” ก็ดิ้นใช้กำลังภายใน ให้มีการส่งกฤษฎีกาตีความคำสั่งให้ออกจากราชการ หวังให้คำสั่งเป็น โมฆะ จะได้กลับมาเป็น รอง ผบ.ตร. ตามเดิมเช่นกัน