“เรืองไกร” ยกคดีประเมินภาษี “ทักษิณ” กลางสภา ขอตัดงบ “กรมสรรพากร” 45 ล้าน อ้างศาลวินิจฉัยยึดทรัพย์ไม่ชอบ เดือด “ส.ส.เพื่อไทย” แห่ประท้วง “ประยุทธ์ ศิริพานิช” นั่งไม่ติด ขอใช้สิทธิประท้วงครั้งแรก เหตุมองไม่เหมาะสม
วันนี้ (20 มี.ค.) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2567 วงเงิน 3.48 ล้านบาท วาระที่ 2-3 ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว ในการพิจารณามาตรา 9 ว่าด้วยงบกระทรวงการคลัง นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ในฐานะกรรมาธิการ ผู้สงวนความเห็น ได้กล่าวอภิปราย
นายเรืองไกร อภิปรายว่า ขอปรับลดงบประมาณของกรมสรรพากร เนื่องจากในชั้นพิจารณาของคณะกรรมาธิการ ว่า เมื่อวันที่ 18 ม.ค. ตนได้ขอรายละเอียดคำพิพากษา เกี่ยวกับการประเมินภาษีของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยกรมสรรพากรได้ส่งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนาญพิเศษมา จำนวน 207 หน้า
โดยในช่วงนี้ นายเรืองไกร ได้กล่าวว่า “ทางเพื่อไทยก็อาจจะฟังไปด้วย อย่าเพิ่งประท้วงนะครับ”
นายเรืองไกร กล่าวต่อไปว่า เป็นคำพิพากษาที่ 2819/2566 ลงวันที่ 2 มิ.ย. 2566 ระหว่างโจทก์ คือ นายทักษิณ และจำเลยที่ 1 คือ กรมสรรพากร และคณะผู้ประเมิน เรื่อง ภาษีอากร ซึ่งจำเลยได้คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น เท่ากับว่าโจทก์ได้ชนะคดี แต่ในคำพิพากษาดังกล่าว ได้เท้าความว่า ในสมัยนั้น รองนายกรัฐมนตรีได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาประชุมเรื่องข้อสรุปของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมือง เกี่ยวกับเรื่องการขายหุ้นให้บริษัท เทมาเส็ก และพิจารณาว่าหุ้นดังกล่าวยังเป็นของ นายทักษิณ และคู่สมรส
นายเรืองไกร กล่าวว่า ต่อมาได้เกิดเป็นอภินิหารทางกฎหมาย ได้มีการประเมินภาษี และนำหมายศาลไปติดที่หน้าบ้านจันทร์ส่องหล้า จากนั้นได้สู้คดี
ทำให้ นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิช ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย ได้ประท้วงว่า นายเรืองไกร กำลังอภิปรายอยู่นอกประเด็น และไม่อยู่ในวาระของการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ โดย นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภา คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุมในขณะนั้น วินิจฉัยว่า นอกประเด็น เพราะวาระที่ 2 ต้องพิจารณาในขอบเขตว่า จะตัดลดงบประมาณลงกี่ %
ทำให้ นายเรืองไกร ตอบว่า “สมัยท่านยังไม่เป็นประธาน ท่านก็ต้องมาขอโทษผมหลังไมค์ ท่านฟังให้จบก่อน”
จากนั้น นายเรืองไกร กล่าวต่อไปอีกว่า ตนเห็นควรปรับลดงบประมาณของกรมสรรพากร ลง 45 ล้านบาท เนื่องจากในชั้นกรรมาธิการ กรมสรรพากรได้ประเมินภาษีก่อน และมีการฟ้องให้ยกเลิกการประเมินเป็นเงิน 45 ล้านบาท ตนจึงจะนำเรื่องนี้มาอธิบายให้ฟัง แต่พวกท่านไม่ฟัง แล้วคิดว่าตนไปหาเรื่องอีกแล้ว
นายเรืองไกร ยังชี้ว่า รายละเอียดของคำพิพากษา มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์คดีให้ยกฟ้อง เท่ากับว่า การประเมินภาษีของกรมสรรพากรนั้นไม่ชอบ และการยึดทรัพย์ 45 ล้านบาท ไม่ชอบ
อย่างไรก็ตาม ตลอดการอภิปรายของ นายเรืองไกร ได้มี ส.ส.เพื่อไทย จำนวนมาก ลุกขึ้นประท้วงอีกหลายครั้ง รวมถึง นายประยุทธ์ ศิริพานิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่ระบุว่า ขอใช้สิทธิประท้วงครั้งแรกในชีวิตการเมือง ว่า การที่ผู้อภิปรายนำเอกสารอื่นมาอ่านในที่ประชุมเป็นเรื่องไม่เหมาะสม
ก่อนที่ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งสลับสับเปลี่ยนขึ้นบัลลังก์ทำหน้าที่ประธานการประชุมในขณะนั้น ได้ขอให้ นายเรืองไกร หยุดอภิปราย เพราะมีผู้ประท้วงซ้ำซาก เพื่อให้การประชุมดำเนินต่อไปได้