“ชำแหละ” เป็นข้อๆ! “พิธีกรดัง” ซัด วิกฤตทางปัญญาของ “ป้ามล” กรณีแถลงคัดค้านฝากขัง “ตะวัน-แฟรงค์” ระบุ จาก “นักตรวจสอบมีคุณภาพ” เป็นแค่ “นักเคลื่อนไหวไร้คุณภาพ” รวมทั้งผู้ใหญ่คอยให้ท้ายคนทำผิดกฎหมาย
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพจเฟซบุ๊ก ปู จิตกร บุษบา ของ จิตกร บุษบา พิธีกรและคอลัมนิสต์ชื่อดัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หัวข้อ “วิกฤตปัญญา” ของ “ทิชา ณ นคร”
เนื้อหาระบุว่า เมื่อวันจันทร์ที่ 10 มีนาคม 2567 เวลาประมาณ 10 นาฬิกา นายสมหมาย ตัวตุลานนท์ บิดาของ น.ส.ตะวัน และ นางทิชา ณ นคร ผอ.ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน พร้อมด้วย น.ส.อรวรรณ ภู่พงษ์ หรือ แบม ทะลุวัง นายนภสินธุ์ ตรีรยาภิวัฒน์ หรือ สายน้ำ เดินทางมาที่ศาลอาญา เพื่อแถลงการณ์คัดค้านการฝากขังของพนักงานสอบสวน สน.ดินแดง กระทั่งล่าสุดอาการเจ็บป่วยของตะวัน และแฟรงค์ ซึ่งเกิดจากการอดอาหาร และน้ำ ประท้วงกระบวนการยุติธรรม มีภาวะน่าเป็นห่วง
ภายหลังจากที่ นางทิชา และบิดาของตะวัน ได้ไปยื่นเอกสารคำร้องคัดค้านการฝากขัง และขอปล่อยตัวชั่วคราว ทั้งหมดได้ลงมาทำกิจกรรมจุดเทียนบนขั้นบันไดหน้าศาลอาญา พร้อมร้องเพลงแสงดาวแห่งศรัทธา จากนั้น รปภ. ได้ขอความร่วมมือให้ทั้งหมดไปจุดเทียนที่ด้านนอกบริเวณศาล ต่อมาได้เคลื่อนไปยังพื้นที่อนุญาต และจุดเทียนพร้อมร้องเพลงเพื่อมวลชน
นางทิชา กล่าวว่า ตนเองอยากเรียนข้อมูลให้สาธารณะได้รับทราบว่า ในปัจจุบันเรือนจำทั่วประเทศ มีการคุมขังผู้ต้องโทษกว่า 250,000 ราย โดย 80% เป็นนักโทษเด็ดขาด ส่วนอีก 20% เป็นนักโทษที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีและไม่ได้รับการประกันตัว ต่อมามีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่า ถึงที่สุดศาลยกฟ้อง แสดงให้เห็นว่า การคุมขัง 20% ดังกล่าวเป็นการคุมขังผู้บริสุทธิ์ ซึ่งเราต้องมาคำนวณเกี่ยวกับวันเวลา อิสรภาพ โอกาสในการทำมาหากินของพวกเขา ถ้าเราทำงานวิจัย นี่คือ ความสูญเสียมหาศาล นอกจากนี้ ตนยังอยากย้ำว่า สิทธิในการประกันตัวเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญที่ได้กำหนดไว้ แต่เรากลับปล่อยให้คนจำนวน 20% เข้าไปอยู่ในเรือนจำ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้สะท้อนให้เห็นว่า การต่อสู้ของ น.ส.ตะวัน น.ส.แบม น.ส.บุ้ง นายแฟรงค์ และนักกิจกรรมทางการเมืองคนอื่นๆ พวกเขาไม่ได้ต่อสู้เพื่อตัวเอง แต่ตั้งคำถามกับระบบที่เกิดก่อนเขา และเขาก็สงสัยในระบบเหล่านี้ มันเป็นคำถามที่ใหญ่และตบหน้าคนที่เกิดก่อนด้วยซ้ำ
นางทิชา กล่าวอีกว่า มั่นใจว่า ทุกคนรู้สึกว่า ระบบยุติธรรมของไทยตอนนี้กำลังเดินทางเข้าสู่วิกฤตศรัทธา ดังนั้น การต่อสู้ของเด็กๆ ทั้งหมด เป็นเรื่องที่บุคคลภายนอกอย่างเราต้องไม่อยู่เฉย และถ้าทุกคนรู้สึกว่าการอดอาหารประท้วงของพวกเขาเป็นการตัดสินใจกันเอง และถ้าอยากสาปแช่งให้เด็กเหล่านี้ติดคุกและเสียชีวิต เเละถ้าพวกคุณรู้สึกเกรี้ยวกราดต่อการท้าท้ายอำนาจรัฐของเด็ก เราก็อยากบอกว่า พวกคุณกำลังลดทอนคุณค่าของกฎหมายและรัฐธรรมนูญ เพราะถ้าในอนาคตกฎหมายยังไม่ได้ถูกออกแบบไว้เป็นอย่างดี วันนั้นอาจเป็นชะตากรรมของลูกหลานของพวกคุณก็ได้ที่เจอกฎหมายไม่เป็นธรรม สรุปแล้วการประท้วงเรียกร้องให้ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมของตะวัน แฟรงค์ และ บุ้ง โดยการเอาชีวิตเป็นเดิมพัน จึงไม่ใช่การเรียกร้องเพื่อตัวเอง แต่ต้องการระบบที่มันยุติธรรม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเด็ดเดี่ยวของเด็กๆ ในนาทีนี้มันเข้าสู่สัญญาณอันตราย ตนและคนข้างนอกไม่อาจอยู่เฉยได้แม้ผลจะเป็นอย่างไร
“การที่เรามาที่ศาล เพราะยังเหลือศรัทธาในกระบวนการยุติธรรม ดังนั้น จึงหวังว่า จะยังคงมีผู้พิพากษาที่มีความเป็นมนุษย์ในสถาบันแห่งนี้จะกล้าหาญพอที่จะชักฟืนออกจากกองไฟให้ได้ เพื่อไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายไปกว่านี้”
นางทิชา กล่าวต่อว่า แม้ผู้ใหญ่จะรู้สึกว่า พวกเขาไม่มีมารยาท ไม่น่ารัก แต่คำถามคือมันสมเหตุสมผลหรือไม่ ที่จะใช้กฎหมายตั้งข้อหาอย่างรุนแรงขนาดนี้ ตนขอถามว่า พวกคุณตอนเด็กน่ารักทุกวันหรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ ลูกหลานในบ้านคุณน่ารักทุกวันนี้หรือไม่ ก็ไม่ใช่ ทั้งนี้ ตนเชื่อว่า มีคนจำนวนมากในสถาบันนี้ จะมีความกล้าหาญที่จะช่วยชักฟืนออกจากกองไฟก่อนที่เราจะสูญเสียมากไปกว่านี้
“1. ผมเป็นคนหนึ่ง ที่ชื่นชมการทำหน้าที่ “เยียวยา-กล่อมเกลาเด็ก” ของ ป้ามล-ทิชา ณ นคร มาโดยตลอด แต่ในกรณีนี้ “มีคำถาม” กับป้ามลมากมาย
2. ป้ามล พยายาม “เล่นกับตัวเลข” กับ “สถิติ” เพื่อ “ทำลายความชอบธรรมของกระบวนการ” ทำให้กระบวนการควบคุมตัวระหว่างพิจารณาคดีเป็น “ผู้ร้าย” โดยไม่ลงในรายละเอียดว่า หลักเกณฑ์และหลักการของการควบคุมตัวระหว่างถูกดำเนินคดีหรือพิจารณาคดีนั้น มีอะไรบ้าง อะไรคือเหตุของการไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว (ประกันตัว) ตามกฎหมาย แล้วใช้หลักนั้น “ลงลึก” ไปในสถิติที่ป้านำมาแสดง
3. ครั้งนี้ป้าได้ลดระดับตัวเองจาก “นักตรวจสอบมีคุณภาพ” เป็นแค่ “นักเคลื่อนไหวไร้คุณภาพ” คือ ป้าจะมักง่าย ไร้เดียงสา ไม่ใช้การศึกษา หรือมีเล่ห์กล ก็ไม่อาจทราบได้ ป้าจึงเล่นกับ “จำนวน” อย่างหยาบๆ ง่ายๆ โง่ๆ โดยไม่ลงลึกใน “เนื้อหา” เลย ว่า 20% เป็นนักโทษที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีและไม่ได้รับการประกันตัว นั้น มีพฤติกรรมหรือองค์ประกอบใดที่เข้าเงื่อนไขตามกฎหมายที่เขียนไว้แล้ว ที่นำไปสู่การต้องถูกควบคุมตัว เป็นการทำงานที่ไม่ใช่เชิง “คุณภาพ” ไม่แยกแยะ แต่เสมือนเล่น “มายากล” พรางตาคนเสียอย่างนั้น
4. การไม่ให้ประกันตัว ทั้งในชั้นเจ้าพนักงานและในชั้นศาลนั้น มี “เหตุ” ที่ระบุเป็น “เงื่อนไข” ชัดเจนว่า ต้องเข้าองค์ประกอบใด จึงจะได้รับการปล่อยตัว องค์ประกอบใดจะต้องถูกควบคุมตัว นี่คือ สิ่งที่ป้าไม่พูด ไม่ให้ความรู้ หรือ “ไม่หาความรู้-ไม่ยึดถือเป็นหลักเกณฑ์หลักการ” ก็ไม่ทราบได้ ป้าควรเป็นตัวอย่างของการสอนคนให้อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเคารพกฎเกณฑ์ สิ่งที่ต้องยึดเป็น “เครื่องมือตรวจสอบเชิงคุณภาพ” คือ หลักเกณฑ์และข้อเท็จจริงว่า ทำไม ผู้ที่ต้องได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์” จึงต้องถูกคุมขังระหว่างพิจารณาคดี
5. มาตรา 108/1 ป.วิ.อ. ระบุเหตุแห่งการไม่ให้ประกันตัวไว้หลายกรณี อาทิ ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะหลบหนี, ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน, ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่น, ผู้ร้องขอประกันหรือหลักประกัน ไม่น่าเชื่อถือ, การอนุญาตให้ประกันตัวจะเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงานหรือการดำเนินคดีในศาล หรือพนักงานอัยการหรือพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว คือ มีการระบุในคำร้องขอฝากขังว่าขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหา
6. ในกรณีนี้ เจ้าพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว โดยอ้างต่อศาลว่า ยังสอบปากคำพยานไม่ครบ จนร้องขอฝากขังเป็นผัดที่ 4 ศาลจึงมีคำสั่งกำชับให้พนักงานสอบสวนเร่งรัดการสอบสวนให้เสร็จในการฝากขังครั้งนี้ ส่วนที่บิดาของผู้ต้องหา อ้างเหตุแห่งความเจ็บป่วย (เพราะอดอาหารเอง เป็นการสร้างเงื่อนไขขึ้นเอง) ศาลท่านก็ชี้ซ้ำว่า แม้ผู้ต้องหาทั้งสองมีอาการวิกฤติตามที่ผู้ร้องอ้าง แต่เมื่อผู้ร้องทั้งสองอยู่ภายใต้ความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เชื่อว่า ผู้ต้องหาจะไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต กรณีนี้ไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมยกคำร้องแจ้งคำสั่งให้ผู้ร้อง และผู้ต้องหาทราบ ซึ่ง “เรื่องแค่นี้” ไม่น่าจะเป็น “ภาระทางปัญญา” หรือ “เกินปัญญา” ของคนระดับ “ทิชา ณ นคร” ได้
หาก ป้ามล-ทิชา จะเล่นประเด็นอะไรให้เห็น “ความแหลมคมทางสติปัญญา” ต้องเล่นว่า พนักงานสอบสวนเตะถ่วง เป็นพฤติกรรมที่ไม่นำไปสู่ความยุติธรรม ไม่ใช่ไปอ้างสถิติคนที่ถูกคุมขังระหว่างพิจารณาคดีว่า ภายหลังศาลตัดสินว่าบริสุทธิ์ หรือยกฟ้อง (ซึ่งก็เกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ เช่น พยานหลักฐานไม่เพียงพอ เป็นต้น) การคุมขังระหว่างพิจารณาคดี หรือระหว่างการสอบสวน จึงไม่ใช่เหตุว่า คนๆ นั้น “เป็นผู้บริสุทธิ์” หรือไม่เป็น แต่มีพฤติกรรม “เข้าองค์ประกอบ” ที่เป็นเหตุให้ต้องควบคุมตัวไว้ก่อน เท่านี้เองครับป้า ป้าต้อง “ไม่เลอะเลือน” ในนิยามของคำว่า “ผู้บริสุทธิ์” ในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการที่ดำเนินสืบเนื่องกันไป
7. ทนายบอน-นายณัฐนันท์ กัลยาศิริ ให้ความรู้ว่า การปล่อยตัวชั่วคราว (ประกันตัว) เป็นหลักการสำคัญของรัฐธรรมนูญ ในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคล ผู้ต้องหาหรือจำเลยต้องได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ในขณะเดียวกัน ศาลก็มีหน้าที่ต้องดูแลปกป้องความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองด้วย
ในกรณีเช่นนี้ บางกรณี ศาลก็ได้เคยคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคลแล้ว ด้วยการให้ประกันตัวในการกระทำความผิดที่ถูกกล่าวหา เพื่อให้ออกมาใช้ชีวิตและต่อสู้คดีได้เต็มที่ แต่เมื่อผู้ต้องหาหรือจำเลย กลับกระทำความผิดซ้ำ ผิดเงื่อนไขการประกันตัวของศาล สร้างความไม่สงบให้เกิดขึ้นในสังคม
ศาลก็มีอีกหน้าที่หนึ่ง คือ ต้องดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองเช่นกัน และเมื่อถึงเวลานั้นการประท้วงด้วยการอดอาหารก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เพราะไม่เช่นนั้น นักโทษคงอดอาหารแล้วได้ออกมาจากเรือนจำกันทุกคน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ไม่เป็นไปตามหลักกฎหมาย
จึงขอฝากไปถึงผู้ใหญ่ที่ให้ท้ายคนรุ่นใหม่ทำผิดกฎหมาย ช่วยแนะนำให้เคารพกฎหมายบ้านเมืองจะดีกว่า และในกรณีที่ได้รับการประกันตัว ได้รับโอกาสออกมาต่อสู้คดีแล้ว ก็ควรแนะนำให้ประพฤติตนตามคำสั่งของศาลโดยเคร่งครัด จะเกิดประโยชน์กับคนรุ่นใหม่และเกิดประโยชน์กับสังคมมากกว่า
8. สิ่งที่ป้ามล “เลยเถิด” ไปอีก คือ “...ต้องมาคำนวณเกี่ยวกับวันเวลา อิสรภาพ โอกาสในการทำมาหากินของพวกเขา ถ้าเราทำงานวิจัย นี่คือ ความสูญเสียมหาศาล...” นี่ป้าก็พูดโดย “ไม่หาความรู้” (uneducated) อีก
9. เรื่องนี้แบ่งได้เป็นสองกรณีครับป้า 1. ถ้าศาลยกฟ้องโดยยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย (ไม่ได้พิพากษาว่าไม่ผิด) จะไม่ได้รับการเยียวยา 2. กรณีศาลพิพากษาว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิด จะเข้าหลักเกณฑ์ในการยื่นขอรับเงิน
10. ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จำเลยมีสิทธิได้รับความช่วยเหลือจากทางการหลายรายการ ได้แก่ (1) ค่าทดแทนการถูกคุมขังวันละ 500 บาท (2) ค่ารักษาพยาบาลไม่เกิน 40,000 บาท (3) ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพทางกายและจิตใจ 50,000 บาท (4) ค่าขาดประโยชน์การทำมาหาได้เท่ากับค่าแรงขั้นต่ำของจังหวัดที่จำเลยทำงาน ยังมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี เช่น ค่าทนาย ส่วนกรณีที่จำเลยเสียชีวิต ยังมีสิทธิได้รับค่าทดแทน 100,000 บาท ค่าทำศพ 20,000 บาท ค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู 40,000 บาท และค่าเสียหายอื่นอีกไม่เกิน 40,000 บาท เป็นต้น
การพูดเรื่อยเจื้อยเลอะเทอะ ไร้การศึกษา นับเป็นการ “กัดกร่อนบ่อนเซาะ” กระบวนการยุติธรรม เพื่อให้เกิด “วิกฤตศรัทธา” ทั้งๆ ที่เกิดจาก “วิกฤตปัญญา” ของตนแท้ๆ กระบวนการยุติธรรมต้องมาถูกข่มขืนล่วงเกินด้วยคำพูดไร้ปัญญา ไม่ศึกษาให้พอก่อนพูด ประดิดประดอยถ้อยคำเก๋ๆ ชิงพื้นที่ข่าว หาประโยคพาดหัวหรือทำอินโฟกราฟิก โชว์ตัว โชว์หน้า โชว์ปัญญาไป
ป้าเรียกร้องให้ชักฟืนออกจากไฟ ในขณะที่ป้ากำลังถูกใช้เป็น “ฟืน” ที่ก่อกองเพลิงอับปัญญาให้ลุกโชนขึ้นแผดเผาบ้านเมือง ให้การเรียนรู้ที่ผิดแก่เด็กและเยาวชนที่ศรัทธาป้า ทั้งหมดที่เขียนมา จึงหวังว่า “ป้าจะศึกษา” และทบทวนตัวเอง!!”