xs
xsm
sm
md
lg

“สมชาย” ชี้ 4 เหตุผล “พิธา” เข้าข่ายขาดคุณสมบัติ ส.ส. คล้ายกรณี “ธนาธร” “ดร.นิว” ยก 2 ประเด็น มีโอกาสผิดถือหุ้นสื่อ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากแฟ้ม
“ส.ว.สมชาย” ชี้เปรี้ยง 4 เหตุผล “พิธา” เข้าข่ายมีลักษณะต้องห้าม-ขาดคุณสมบัติ ส.ส. คล้ายคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ กรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ “ดร.นิว” ยก 2 ประเด็น ไอทีวียังไม่เลิกกิจการ-มีสิทธิในมรดก มีโอกาสผิดถือหุ้นสื่อ

น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (23 ม.ค. 67) กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีความวินิจฉัยในคดีถือหุ้นสื่อของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) แสดงความเห็นผ่านเพจเฟซบุ๊กสมชาย แสวงการ ระบุว่า

“ทำไมหุ้น itv ยังเป็นหุ้นสื่อมวลชน และพิธาน่าจะมีลักษณะต้องห้าม และอาจขาดคุณสมบัติ ส.ส.

เห็นพรรคการเมืองและผู้นำทางความคิดของพรรคก้าวไกลออกมาสื่อสารกับสังคมต่อเนื่องที่อาจทำให้สังคมไขว้เขว หรือทำให้คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเบี่ยงเบนขาดความน่าเชื่อถือ

ในฐานะที่ผมเคยเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ในหลายกรณี ต่างกรรมต่างวาระกันมา จึงตัดสินใจเขียนความเห็นประกอบข้อกฎหมาย โดยยึดแนวทางคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ แนวทางคำพิพากษาศาลฎีกา

โดยจะขอเสนอเป็นความเห็นส่วนตัว ประกอบข้อมูลที่อาจเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในการติดตามข่าวสาร ซึ่งจะไม่สามารถไปชี้นำหรือส่งผลอย่างหนึ่งอย่างใดต่อคำวินิจฉัยคดีที่จะมีขึ้น ดังนี้ครับ

1) บริษัท itv ยังคงเป็นสื่อมวลชน โดย itv มีสถานะความเป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีวัตถุประสงค์จดแจ้งไว้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเกี่ยวกับสื่อรวม 5 ข้อ เช่น รับบริหารและดำเนินกิจการสถานีวิทยุ โทรทัศน์ โทรทัศน์ระบบบอกรับเป็นสมาชิกและโทรภาพทางสาย (เคเบิลทีวี) เป็นที่ปรึกษา ให้คำแนะนำ บริการประชาสัมพันธ์และจัดรายการทางวิทยุโทรทัศน์ โทรทัศน์ระบบบอกรับเป็นสมาชิกและโทรภาพทางสาย (เคเบิลทีวี) แพร่ภาพโทรทัศน์ ผลิตรายการ ประชาสัมพันธ์ รับจ้างผลิตสื่อ ฯลฯ จนถึงปัจจุบัน itv ยังไม่มีการจดทะเบียนเลิกบริษัทหรือจดยกเลิกวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับสื่อมวลชนทั้ง 5 ข้อดังกล่าว

จึงเห็นว่า นายพิธา น่าจะขาดคุณสมบัติ และมีลักษณะต้องห้าม สอดรับกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 14/วินิจฉัย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม ในคดีการถือหุ้นบริษัท วีลัคมีเดีย ที่อ้างว่า ปิดกิจการแล้ว แต่ไม่จดทะเบียนยกเลิกบริษัท ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ยังสามารถประกอบกิจการสื่อมวลชนได้ตลอดเวลา ตราบใดที่ไม่ได้จดเลิกบริษัท

เช่นเดียวกับคำพิพากษาศาลฎีกาในทำนองเดียวกันกับผู้สมัครเลือกตั้ง ส.ส. 4 ราย ที่ไม่ได้จดทะเบียนเลิกประกอบกิจการสื่อขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามเช่นกัน

ภาพ นายสมชาย แสวงการ จากแฟ้ม
2) บริษัท ITV ชนะคดีเบื้องต้นแล้ว 2 ยก รัฐต้องคืนคลื่นความถี่และชดใช้ค่าเสียหาย โดย itv ที่ได้ถูกปิดสถานีและยึดคลื่นคืน เพราะไม่ชำระหนี้ค่าสัมปทานแก่รัฐ เมื่อ 17 ปีก่อน ได้ยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ หมายเลขดำที่ 29/2545 โดยอ้างว่ารัฐให้สัมปทานกับบุคคลอื่น เป็นเหตุให้บริษัท ได้รับผลกระทบต่อฐานะการเงินอย่างรุนแรง จึงขอให้สำนักปลัดสำนักนายกฯ ชดเชยความเสียหายตามสัญญาเข้าร่วมงานฯ

คณะอนุญาโตตุลาการ ชี้ขาดให้ itv ชนะ ได้รับเงินเยียวยาและคืนคลื่นความถี่

สปน. นำคดีสู้ ต่อศาลปกครองกลาง แต่ศาลพิพากษายกคำร้อง

สปน. ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาต่อ

สถานะปัจจุบัน ศาลปกครองสูงสุด ยังไม่มีคำพิพากษาในคดีนี้

จึงเห็นว่า นายพิธา น่าจะขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามเพราะคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการและศาลปกครองกลาง ให้ itv เป็นผู้ชนะคดี ได้รับการเยียวยา และคืนสัมปทานคลื่นความถี่โทรทัศน์ itv จึงอยู่ในฐานะที่พร้อมประกอบกิจการสถานีโทรทัศน์ได้

3) บริษัท itv ไม่ได้ประกอบกิจการแล้ว แต่ยังมีบริษัทลูกประกอบกิจการสื่อและมีรายรับจากบริษัท อาร์ตแวร์มีเดีย ที่ itv เป็นผู้ถือหุ้น 99%

โดยมีผลประกอบกิจการจดทะเบียนทำสื่อโฆษณา รายการ ให้เช่าเครื่องมือ ลิขสิทธิ์ และอื่นๆ ฯลฯ ที่ถือได้ว่าเป็นธุรกิจสื่อมวลชน

จึงเห็นว่า นายพิธา น่าจะขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม สอดรับกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ให้นายธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกล พ้นจาก ส.ส. ด้วยเหตุถือหุ้นสื่อสารมวลชน บริษัท เฮด อัพ โปรดักชั่น จำกัด และ บริษัท แอมฟายน์ โปรดักชั่น จำกัด

4) พิธา ถือหุ้น itv เพียงแค่เล็กน้อย ทำไมจึงผิด

ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยที่ 12-14/2553 ในคดีถือหุ้นสื่อและหุ้นสัมปทานรัฐ ที่วินิจฉัยให้ รมต. ส.ส. ส.ว. พ้นจากสมาชิกภาพ และเคยวินิจฉัยไว้ว่า หุ้นสื่อและหุ้นสัมปทานเป็นลักษณะต้องห้ามแม้ถือหุ้นเพียง1หุ้น ก็ขาดคุณสมบัติ

ดังนั้น การที่ นายพิธา อ้างว่า ถือหุ้น itv เพียง 42,000 หุ้น จาก 1,206,697,400 หุ้น คิดเป็น 0.0035 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีอํานาจสั่งการบริษัท

: ข้อโต้แย้งนี้ของนายพิธา จึงฟังไม่ขึ้นและไม่อาจหักล้างคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่เคยวางแนวไว้เดิม

พร้อมน้อมรับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ในคดีที่ศาลจะมีคำวินิจฉัยคดีการถือหุ้นสื่อ itv ไม่ว่าจะออกมาในแนวทางใด”

ภาพ ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว จากแฟ้ม
ขณะเดียวกัน ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ดร.นิว นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า

“ทำไมนายพิธาจึงมีโอกาสผิดฐานถือหุ้นสื่อ?

หัวใจสำคัญของการวินิจฉัยอยู่ที่ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 ใน มาตรา 42(3) บุคคลผู้มีลักษณะเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

จากกรณีหุ้นไอทีวีพบว่ามีการจดทะเบียนในฐานะสื่ออย่างชัดเจน แม้ว่าจะประสบปัญหาทางธุรกิจมาเป็นระยะเวลาหลายปี รวมถึงไม่ได้ดำเนินธุรกิจตามปกติเฉกเช่นในอดีต แต่ก็ยังไม่ได้จดทะเบียนเลิกกิจการกับกรมพัฒนาธุรกิจทางการค้าแต่อย่างใด ดังนั้น ในทางกฎหมายจึงถือว่าปัจจุบันไอทีวีมีสถานะ “ยังดำเนินกิจการอยู่”

ส่วนการที่ศาลแพ่งแต่งตั้งนายพิธาเป็นผู้จัดการมรดกของหุ้นไอทีวีนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 ในกรณีของผู้จัดการมรดกทั่วไปก็อาจไม่ได้มีสิทธิ์ในทรัพย์มรดก แต่ในกรณีของนายพิธาที่เป็นทายาทโดยธรรมคนสำคัญ จัดเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทรัพย์มรดกนั้นด้วย ถ้านายพิธามั่นใจว่าไม่ผิด นายพิธาจะรีบโอนหุ้นปัดสวะให้พ้นตัวทำไม?

ต่อมาไอโอด้อมส้มมักยกกรณีต่างๆ มาเปรียบเทียบในลักษณะบิดเบือนโดยละเลยใจความสำคัญ เช่น กรณีชาญชัย ไม่ผิดฐานถือหุ้นสื่อเพราะหุ้นเอไอเอสไม่ใช่หุ้นสื่อโดยตรง กรณีภาดา ไม่ผิดฐานถือหุ้นสื่อเพราะบริษัทที่เกี่ยวข้องจดวัตถุประสงค์ไว้หลายประการ แต่ยังไม่เคยประกอบกิจการสื่อใดๆ และจดทะเบียนเลิกบริษัทไปแล้ว เป็นต้น

แต่ทว่าไอโอด้อมส้ม สื่อบริวารของนายทุนด้อมส้ม นักวิชาการด้อมส้ม เครือข่ายปั่นกระแสบิดเบือนทางโซเชียลมีเดียของด้อมส้ม ฯลฯ กลับไม่ค่อยนำเสนอกรณีสุรโชค ที่ผิดฐานถือหุ้นสื่อเพราะถือหุ้น อสมท. เพียงแค่ 1 หุ้นเท่านั้น โดยศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาให้ต้องความผิดทางอาญาพร้อมกับตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 20 ปี

อย่างไรก็ดี ควรปรับปรุงกฎหมายให้เท่าทันต่อการโกงที่ทันสมัย ยกตัวอย่าง เช่น พรรคการเมืองหนึ่งมีนายทุนครอบงำพรรค แม่กับญาติของนายทุนถือหุ้นสื่อจำนวนมาก ตลอดจนมีขบวนการไอโอที่ครองพื้นที่ในโซเชียลมีเดียเกือบทั้งหมด แถมยังมีการใช้ดาราแห่กันออกมาชี้นำให้เลือกพรรคดังกล่าวบริเวณคูหาโดยไม่ยำเกรงต่อกฎหมาย

แม้ว่ากฎหมายจะล้าหลังไม่เท่าทันต่อกลโกงในยุคปัจจุบัน แต่กฎหมายย่อมต้องเป็นกฎหมาย และที่สำคัญที่สุด นายพิธา ทำตัวด้อยกว่ากฎหมายที่ล้าหลัง วุฒิภาวะต่ำกว่าวิญญูชนปกติ ขาดกระทั่งความรับผิดชอบต่อตนเองในระดับพื้นฐาน นายพิธาที่ไม่ยอมโอนหุ้นให้เรียบร้อยตั้งแต่แรก จึงเหมือนกับเด็กอนุบาลที่ไม่ทำการบ้านส่งครู”


กำลังโหลดความคิดเห็น