ศาล ปค.สูงสุด ตีตกคำร้อง ป.ป.ช ซ้ำอีก ปมขอพิจารณาคดีใหม่ไม่เปิด 2 เอกสารสอบ นาฬิกาหรู “บิ๊กป้อม” ชี้ ไร้พยานหลักฐานใหม่-ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์
วันนี้ (12 ม.ค.) ศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองกลาง ไม่รับคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของสำนักงาน ป.ป.ช. เลขาธิการ ป.ป.ช. และคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในคดีที่ก่อนหน้านี้ ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้นให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามเปิดเผยข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการไต่สวนคดี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ถูกกล่าวหาจงใจยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน อันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรทราบกรณีไม่แสดงว่ามีนาฬิกาข้อมือและแหวนประดับหลายรายการโดยเฉพาะรายการที่ 3 รายงานสรุปผลการแสวงหาข้อเท็จจริง และรวบรวมพยานหลักฐาน ซึ่งคณะทำงานรวบรวมข้อเท็จจริง เสนอต่อที่ประชุมป.ป.ช ในวันที่ 27 ธ.ค 61 และเอกสารอื่นๆที่เกี่ยวข้อง และเอกสารรายการที่ 4 คำชี้แจงของ พลเอก ประวิตร ทั้ง 4 ครั้งในคดีนี้ ที่ยื่นกับ ป.ป.ช ต่อนายพงศ์พิพัฒน์ บัญชานนท์ ผู้ฟ้องคดี ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย ที่ สค 333/2562 ลงวันที่ 22 ส.ค. 62 ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด แต่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามได้ยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ โดยศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำขอและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสาม ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด
ส่วนที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามศาลปกครองชั้นต้นไม่รับคำขอพิจารณาคดีใหม่ในวันนี้ระบุเหตุผลว่า ความเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหายของนายพงศ์พิพัฒน์ ผู้ฟ้องคดีตามมาตรา 42วรรคหนึ่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542 ถือเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า ผู้นั้นเป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาล ซึ่งศาลปกครองชั้นต้นได้ดำเนินกระบวนพิจารณาในเรื่องดังกล่าวในชั้นตรวจคำฟ้องก่อนที่จะมีคำสั่งรับคำฟ้องไว้พิจารณาแล้ว แม้ประเด็นการเป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีหรือไม่ เป็นเงื่อนไขการฟ้องคดีปกครอง จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน และแม้คู่กรณีไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ ศาลปกครองสูงสุดย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามข้อ 92 ประกอบข้อ 116 แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542 แต่เมื่อคดีนี้ไม่มีประเด็นปัญหาเกี่ยวกับการเป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีของผู้ฟ้องคดี และผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามเองก็มิได้ยกขึ้นโต้แย้งทั้งในกระบวนพิจารณาของศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุด ประกอบกับมาตรา 69 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ. ดังกล่าว มิได้บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีของศาลจะต้องระบุถึงความเป็นผู้เดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ที่จะมีสิทธิฟ้องคดีของผู้ฟ้องคดีแต่อย่างใด เมื่อคดีนี้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามไม่ได้โต้แย้งการเป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีของผู้ฟ้องคดีตามที่กล่าวมา ศาลจึงไม่จำต้องยกขึ้นวินิจฉัยและระบุไว้ในคำพิพากษา กรณีดังกล่าวจึงไม่อาจถือได้ว่า คำพิพากษาของศาลมีสาระสำคัญไม่ครบถ้วนตามมาตรา 69 แห่ง พ.ร.บ. เดียวกัน ตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามกล่าวอ้างซึ่งจะทำให้ศาลฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดหรือมีพยานหลักฐานใหม่ อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ หรือมีข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนพิจารณาพิพากษาที่ทำให้ผลของคดีไม่มีความยุติธรรม ตามมาตรา 75 วรรคหนึ่ง (1) และ (3) แห่ง พ.ร.บ. ข้างต้น
ส่วนกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามอ้างว่า เอกสารที่ผู้ฟ้องคดีมีคำขอให้เปิดเผยเป็นข้อมูลข่าวสารที่ห้ามมิให้เปิดเผย ตามมาตรา 36 แห่ง พ.ร.ป. ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2561 และตามมาตรา 15(2) และ (4) แห่ง พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการ 2540 อีกทั้งได้อ้างพยานหลักฐานคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อ. 681/2560 และคดีหมายเลขแดงที่ อร. 74/2564 แต่ศาลปกครองสูงสุดมิได้หยิบยกขึ้นมาวินิจฉัย และการไต่สวนของ ป.ป.ช. เป็นการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้เป็นการเฉพาะ และเป็นการดำเนินงานตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญานั้น เห็นว่า ข้อกล่าวอ้างในการขอพิจารณาคดีใหม่ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามดังกล่าว ศาลปกครองสูงสุดในคดีหมายเลขแดงที่ อ. 326/2566 ได้วินิจฉัยไว้แล้ว กรณีจึงเป็นการโต้แย้งการใช้ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน การพิจารณาข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายในการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลเท่านั้น จึงไม่อาจถือได้ว่ามีข้อบกพร่องสำคัญในกระบวนการพิจารณาพิพากษาที่ทำให้ผลของคดีไม่มีความยุติธรรม ตามมาตรา 75 วรรคหนึ่ง (3) แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542 ตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามกล่าวอ้าง ดังนั้น คำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามจึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่ศาลจะรับไว้พิจารณาได้