มติศาล รธน.ตีตกคำร้อง ป.ป.ช. ปมขอวินิจฉัยไม่เปิดเอกสารตาม พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร เหตุไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ คาด เกี่ยวกับคดีศาล ปค.สั่งเปิดผลสอบนาฬิกาหรู “บิ๊กป้อม”
วันนี้ (22 พ.ย.) ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 ไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัยในคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป ป.ช.) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ 210 วรรคหนึ่ง (2) เกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจในการปฏิบัติหน้าที่กรณี มีมติมิให้เปิดเผย ข้อมูลข่าวสารโดยอาศัยบทบัญญัติของ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 เป็นหน้าที่และอำนาจ เป็นการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 59 และมาตรา 63 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2561 มาตรา 36 และมาตรา 180 ที่กฎหมายบัญญัติไว้ เป็นการเฉพาะ ต่อมามีการโต้แย้งอำนาจดังกล่าว ป.ป.ช.จึงส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า
รัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) บัญญัติให้องค์กรอิสระมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา วินิจฉัยในปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจขององค์กรอิสระได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องที่เป็นความขัดแย้งเกี่ยวกับ หน้าที่และอำนาจระหว่างองค์กรอิสระตั้งแต่สององค์กรขึ้นไป ซึ่งการยื่นคำร้องในกรณีดังกล่าวจะต้องเป็นหน้าที่ และอำนาจที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้โดยตรง หรือมีการกำหนดบทบาทและอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญได้บัญญัติหน้าที่และอำนาจของผู้ร้องไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 วรรคหนึ่ง (1) (2) (3) และ (4) และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 28 กรณีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการซึ่งมิใช่หน้าที่และอำนาจของ ป.ป.ช.ผู้ร้อง ที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้โดยตรง บุคคลใดได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหาย โดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ย่อมมีสิทธิขอให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารทางราชการดังกล่าว หากมีข้อโต้แย้งประการใด ย่อมเป็นหน้าที่และอำนาจของศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษา กรณีตามข้อกล่าวอ้างของ ป.ป.ช.จึงมิใช่ปัญหา เกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2)
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คำร้องของ ป.ป.ช.ดังกล่าว คาดว่า น่าจะมาจากกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้ ป. ป.ช.เปิดเผยรายงานผลการสอบสวนคดี นาฬิกาหรู ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่ถูกกล่าวหาว่าจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ตามคําวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย ที่ สค 333/2562 แก่ นายวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายต้านคอร์รัปชัน ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ศาลปกครองสูงสุดมีคําพิพากษา ซึ่งต่อมา ป.ป.ช.ได้มีการยื่นคำฟ้องขอให้ศาลปกครองพิจารณาคดีใหม่และศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งยืนตามศาลปกครองชั้นต้นไม่รับพิจารณาคดีใหม่โดยเมื่อช่วงต้นเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ป.ป.ช.มีมติ 4 ต่อ 1 ให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรณีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ปฏิบัติ ว่าขัดหรือแย้ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 36 และมาตรา 180 หรือไม่