เมืองไทย 360 องศา
หากจับอาการสังคมเวลานี้ปฏิกิริยาที่มีต่อกรณีอนุญาตให้ นายทักษิณ ชินวัตร นักโทษเด็ดขาดชายในคดีทุจริต ออกมารักษาอาการป่วยที่โรงพยาบาล ตำรวจ หรือที่เรียกว่าออกมา “รักษานอกคุก” นั้นนับวันยิ่งจะสร้างความไม่พอใจ มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมองเห็นว่านี่คือ “อภิสิทธิ์ชน” คนไม่เท่ากัน ที่เวลานี้ กระแสกำลังเรียกร้อง เพราะที่ผ่านมาหากจับความเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นพวก เด็กๆรุ่นใหม่ พวก “ม็อบสามนิ้ว” ต่างก็ชูประเด็นนี้
กรณีของนายทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกเรียกว่า “นักโทษเทวดา” นั้น จากวันนั้นจนถึงวันนี้อ้างว่ารักษาอาการป่วยอยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจมาร่วม140 วันแล้ว โดยที่ผ่านมาเขาไม่เคยอยู่ในคุกแม้สักวันเดียวซึ่งสังคมส่วนใหญ่ก็เชื่อว่า “เป็นข้ออ้าง” ทางกฎหมาย และระเบียบปฏิบัติโดยไม่ต้องอยู่ในคุกเท่านั้นเอง
ที่ผ่านมาหลายหน่วยงาน บุคคล และคณะบุคคล ต่างพยายามเรียกร้องขอให้มีการเปิดเผยอาการป่วย รวมไปถึงการพิสูจน์ความจริงว่าเขาป่วยด้วยโรคร้ายอะไรกันแน่ ถึงรักษาไม่หาย อาการไม่ดีขึ้นถึงต้องใช้เวลานานแบบนี้ถือว่าผิดปกติมาก ขณะเดียวกันยังต้องการพิสูจน์อีกว่า จริงๆแล้ว นายทักษิณยังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจหรือไม่ หรือว่าถูกนำ ตัวออกไปข้างนอก เช่นกลับออกไปอยู่บ้านพักตั้งนานแล้ว
เพราะทุกอย่างมีความน่าสงสัย มีข้อพิรุธมากมาย รวมไปถึงมองว่านี่คือการรวมหัวกันจากหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องตั้งแต่รัฐบาล กระทรวงยุติธรรมลงมาจนถึงกรมราชทัณฑ์ที่มีเจตนาปกปิด ไม่ยอมพูดความจริงให้สังคมได้รับรู้ อ้างเพียงแค่สิทธิของคนไข้อ้างหลักสากล หลักสิทธิมนุษยชน อยู่ตลอดเวลา
ล่าสุดกรมราชทัณฑ์โดยอธิบดีกรมราชทัณฑ์ได้ลงนามอนุญาตให้ นายทักษิณ ชินวัตร รักษาอาการป่วยที่โรงพยาบาลตำรวจโดยไม่มีกำ หนด ต่อไป โดยอ้างเป็นไปตามคำวินิจฉัยของแพทย์ที่ต้องเฝ้าระวังรักษาอาการอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดอันตรายถึงชีวิต
เมื่อวันที่ 11 มกราคม กรมราชทัณฑ์ได้ออกคำชี้แจงกรณีที่กรมราชทัณฑ์ได้ส่งตัวนายทักษิณ ชินวัตรออกรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลภายนอก ตั้งแต่วันที่23 ส.ค.66 โดยพบว่านายทักษิณมีโรคประจำ ตัวหลายโรคที่อยู่ระหว่างการรักษาติดตาม อาการ โดยโรคที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ และเนื่องจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ยังขาดเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีศักยภาพ แพทย์จึงมีความเห็นว่าเพื่อป้องกันความเสี่ยงอันตรายที่อาจจะส่งผลต่อชีวิตเห็นควรส่งตัวไปโรงพยาบาลตำรวจที่มีความพร้อม มีเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีศักยภาพสูงกว่าโดยแนวปฏิบัติกรณีมีผู้ป่วยที่ต้องเฝ้าระวังและยังคงรักษาตัวอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันนั้น
กรมราชทัณฑ์ขอชี้แจงว่าขณะนี้นายทักษิณ ได้ออกไปรับการรักษาตัวยังโรงพยาบาลตำรวจเกินระยะเวลา 120วัน โดยเรือนจำ พิเศษกรุงเทพมหานคร ได้ดำ เนินการประสานไปยังโรงพยาบาลตำรวจเพื่อรับทราบถึงอาการป่วยของนายทักษิณ ซึ่งแพทย์ได้รายงานอาการเจ็บป่วยในหลายประการที่ต้องเฝ้าระวังโดยแจ้งความเห็นว่าผู้ป่วยอยู่ระหว่างการรักษาของแพทย์เฉพาะทางและต้องดูแลอย่างใกล้ชิดถึงอาการป่วยเพื่อให้พ้นจากสภาวะอันตรายแก่ชีวิตเพื่อให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย เรือนจำ พิเศษกรุงเทพมหานคร จึงได้รายงานมายังกรมราชทัณฑ์เพื่อดำ เนินการพิจารณา ตามกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 ที่ระบุไว้ว่า กรณีผู้ต้องขังต้องพักรักษาตัวที่สถานที่รักษาเป็นเวลานาน ให้ผู้บัญชาเรือนจำ ดำ เนินการดังนี้กรณีการพักรักษาตัวเกินกว่า 120วัน ให้มีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดีพร้อมกับความเห็นแพทย์ผู้ทำ การรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องและรายงานให้รัฐมนตรีทราบต่อไป
อธิบดีกรมราชทัณฑ์ได้พิจารณาจากความเห็นของแพทย์ผู้ทำ การรักษาที่พิจารณาแล้วมีความเห็นว่ายังต้องดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด ประกอบกับเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องซึ่งมีความครบถ้วนตามกฎหมาย จึงพิจารณาเห็นชอบเมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2567 ให้นายทักษิณ อยู่รักษาตัวต่อยังโรงพยาบาลตำรวจ เนื่องจากยังคงมีอาการเจ็บป่วยที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดโดยแพทย์ผู้ทำ การรักษาเฉพาะทาง และหากเกิดภาวะแทรกซ้อน หรืออาการที่อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตจะได้ดำ เนินการรักษาอย่างทันท่วงที
โดยกรมราชทัณฑ์ได้ดำ เนินการปฏิบัติตามกฎกระทรวง จึงรายงานให้รัฐมนตรีทราบต่อไป ซึ่งเป็นไปตามกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563 โดยกรมราชทัณฑ์ยังคงยึดหลักการสิทธิขั้นพื้นฐานที่ผู้ต้องขังพึ่งได้รับตามมาตรฐานสากลรวมถึงเคารพในหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิ์ผู้ป่วยและตามจรรยาบรรณของแพทย์ข้อมูลส่วนบุคคลหรือการเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคล จำ เป็นต้องได้รับคำ ยินยอมจากเจ้าของข้อมูลด้วย กรมราชทัณฑ์จึงไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วยออกสู่สาธารณชนได้ตามพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติพ.ศ.2550 ตลอดจนประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 323และข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกร พ.ศ.2549 ข้อ 27 ซึ่งแพทย์ต้องปฏิบัติตาม
ขณะเดียวกัน วันเดียวกันทาง พ.ต.อ.หญิงศิริกุล ศรีสง่า โฆษก โรงพยาบาลตำรวจ ได้แถลงกรณีที่คณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร จะเยี่ยมชม ศึกษาดูงานการทำงานของโรงพยาบาลตำรวจ รวมถึงการการตรวจ เยี่ยมคนไข้ รวมไปถึงการตรวจเยี่ยม นายทักษิณ ชินวัตร ที่รักษาอาการอยู่ ที่อาคารชั้น 14 นั้น ไม่สามารถทำ ได้ เนื่องจากต้องรักษาสิทธิของคนไข้ แต่หากเป็นการดูงานด้านอื่นๆ ก็จะมีเจ้าหน้าที่อธิบายให้ได้รับทราบ
โฆษกโรงพยาบาลตำ รวจแถลงว่า รูปแบบดังกล่าว(วีดิโอคอล)ทางรพ.ตำรวจไม่เคยทำ เพราะเกรงจะเป็นการละเมิดสิทธิ์ของคนไข้โดยเฉพาะหากคนไข้ไม่อนุญาตก็ไม่สามารถทำ ได้ทุกกรณีอีกทั้งการขอมาศึกษาดูงานของกมธ.ตร.ก็ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งแต่เป็นการขอดูงานในภาพรวมเท่านั้น พร้อมย้ำว่าไม่สามารถพาขึ้นไปดูที่ชั้น 14 ที่พักรักษาตัวของนายทักษิณได้
แน่นอนว่าการอนุญาตให้ นายทักษิณ ชินวัตร ได้อยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจต่อไปแบบไม่มีกำ หนด โดยอ้างว่าป่วยที่ต้องใช้แพทย์เฉพาะทางรักษาอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งอ้างสิทธิของคนไข้ที่ไม่สามารถเปิดเผยอาการป่วย และ การเข้าเยี่ยมได้ สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดความอึดอัดคับข้องใจจากสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ คำ ถามในเรื่อง “อภิสิทธิ์ชน คนไม่เท่ากัน” จะยิ่งดัง ขึ้นอีก เพราะมันเหมือนกับท้าทายความรู้สึกของสังคม อีกทั้งกรณีของ นาย ทักษิณ ชินวัตร น่าจะเป็นการสั่นคลอนรัฐบาลได้อีกทางหนึ่งอย่างแน่นอน.