เมืองไทย 360 องศา
ผ่านวาระแรกแบบฉลุยกันไปแล้ว สำหรับร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ด้วยคะแนนเสียงที่ขาดลอย แม้ว่าบรรยากาศ เนื้อหาการอภิปรายจะค่อนข้างจืดชืด แต่ก็มักเป็นแบบนี้เกือบทุกครั้ง เพราะเป็นร่างงบประมาณ ไม่ใช่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ “ซักฟอก” รัฐบาล หรือรัฐมนตรี
ขณะเดียวกัน กลายเป็นว่าหลังการอภิปรายงบประมาณผ่านไป กลับทำให้พรรคฝ่ายค้านบางพรรค เช่น พรรคไทยสร้างไทย ส่อเค้า “ล่มสลาย” ตามมาอีกด้วย หลังจากเกิด “งูเห่า” จำนวน 3 คน จากจำนวน ส.ส.6 คน โหวตสวนมติพรรค นั่นคือ ไปโหวตหนุนหน้าตาเฉย ส่วนอีก 1 คน มาจากอีกพรรค ซึ่งไม่น่าแปลกใจเพราะเป็นพวก “ฝากเลี้ยง” มาก่อนเก่าอยู่แล้ว
อย่างไรก็ดี หากจะโฟกัสไปที่การอภิปรายร่างงบประมาณในครั้งนี้ ก็อดพูดถึงพรรคประชาธิปัตย์ มากเป็นพิเศษไม่ได้ แม้ว่าจะไม่ใช่เป็นพรรคแกนนำ ไม่ใช่ผู้นำฝ่ายค้านอย่างพรรคก้าวไกล แต่กลายเป็นว่ามีบทบาทโดดเด่นใช้ได้ โดยเฉพาะตัวผู้อภิปรายที่เรียกความสนใจได้ดีพอสมควร และที่สำคัญ ก็คือ การอภิปรายที่แตะ “เทวดาชั้น 14” นายทักษิณ ชินวัตร ที่กล่าวหาว่า “ติดคุกทิพย์” อยู่ที่นั่น
การอภิปรายของ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ อดีตหัวหน้าพรรค ที่เริ่มจากการอภิปรายงบประมาณของกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ และพาดพิงมาถึง นายทักษิณ ชินวัตร ที่ทำลายความยุติธรรม
“ผมมีคำถามว่า รัฐบาลในฐานะผู้ใช้งบประมาณ ได้บริหารโครงการตามวัตถุประสงค์ โปร่งใส ไม่เลือกปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง 2.8 แสนคนหรือไม่ เพราะมีข้อเคลือบแคลงเกิดขึ้นในสังคม ว่า ทำไมรัฐบาลปล่อยให้นักโทษบางคนเข้าคุกทิพย์มาแล้วกว่า 120 วัน แต่ยังไม่เคยติดคุกจริงแม้แต่วันเดียว” นายจุรินทร์ ระบุ
ขณะเดียวกัน ยังมี ส.ส.ในพรรคอีกหลายคนที่ลุกขึ้นมาอภิปราย พาดพิงไปถึงนายทักษิณ ทำให้เกิดการประท้วงของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย อย่างต่อเนื่อง เหมือนกับว่าห้ามแตะ “กล่องดวงใจ” เป็นอันขาด ซึ่งก็เป็นแบบนี้ทุกครั้งหากมีการอภิปรายหรือพูดถึงตัวเขา
หลังการอภิปรายคราวนี้ กลายเป็นว่า พรรคประชาธิปัตย์กลับได้รับการพูดถึงมากกว่าพรรคก้าวไกลเสียอีก ทั้งในเรื่องบทบาท และท่าที เนื้อหาการอภิปราย เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า ประสบการณ์ “ความเก๋า” ในสภามันต่างกัน เพราะหากพิจารณาจากบทบาทของพรรคก้าวไกล ยังถือว่าไม่โดดเด่นทั้งเนื้อหา และผู้อภิปราย หากจะบอกว่า ส่วนใหญ่เป็นหน้าใหม่ เป็น ส.ส.สมัยแรก เป็นเด็กๆ ที่ไร้ประสบการณ์ ก็ว่าไป แต่หากสังเกตจะเป็นว่าแทบจะไม่เคยเห็นคนในพรรคก้าวไกล “จะกล้าพูดถึงนักโทษเทวดา” ให้ได้ยินเลย อย่างมากก็แค่เฉี่ยวไปเฉี่ยวมา พูดตามกระแสกดดันจากสังคมเสียมากกว่า มากกว่าตั้งใจพูดอย่างจริงจัง ผิดกับการได้วิพากษ์วิจารณ์ กองทัพ ประเภทได้โจมตีกองทัพ ยุบ กอ.รมน. ยกเลิกเกณฑ์ทหาร อะไรแบบนี้ แต่เนื้อหาก็ไม่ได้แน่นพอ ทำให้มีการชี้แจงข้อมูลข้อเท็จจริงกลับมา จนต้องนั่งเงียบ
เมื่อวกกลับมาที่พรรคประชาธิปัตย์ในเวลานี้ ในทางการเมืองถือว่ากำลังอยู่ในช่วงที่กำลังปรับตัว ยังไม่รู้ทิศทางว่าจะไปทางไหน หลังจากมีการแตกแยกภายในอย่างหนัก และมีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ มี นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เป็นหัวหน้าพรรค และ นายเดชอิศม์ ขาวทอง เป็นเลขาธิการพรรค ทำให้มองกันว่า กำลังเข้าสู่ยุค “บ้านใหญ่” กำลังสูญเสียฐานเสียงในภาคใต้แล้ว ภาพของประชาธิปัตย์ในอดีต ได้หมดลงแล้ว กลายเป็นพรรคที่มีจุดเด่นเฉพาะตัวผู้สมัคร จะไม่มีกระแสพรรคหนุนแบบเมื่อก่อนอีกแล้ว
และที่สำคัญ ยังมีเสียงวิจารณ์ว่า พรรคประชาธิปัตย์ในยุคนี้กลายเป็น “พรรคอะไหล่” ที่รอจังหวะเสียบเป็นรัฐบาลอีกด้วย ทำให้แฟนคลับดั้งเดิม เบือนหน้าหนีไปตามๆ กัน อีกทั้งหากพิจารณากันโดยรวมๆ แล้ว หากสังเกตจากการอภิปรายร่างงบประมาณในครั้งนี้ ยังถูกมองว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านอภิปรายฝ่ายรัฐบาลแบบ “ชกไม่เต็มหมัด” ด้วยซ้ำไป เหมือนกับยั้งๆ พิกล
อย่างไรก็ดี ล่าสุด นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ นายเดชอิศม์ ขาวทอง เลขาธิการพรรค ย้ำว่า พรรคจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเต็มที่ และขอให้รอดูและให้เลิกวิจารณ์เสียทีว่าเป็น “พรรคอะไหล่”
“ผมขอให้รอดูการเปลี่ยนแปลงของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ยืนยันได้ว่า ภายในการประชุมสามัญประจำปีของพรรคประชาธิปัตย์ครั้งหน้า จะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของประชาธิปัตย์ และวันนี้อยากให้ทุกคนเริ่มไปติดตามโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป”
นายเฉลิมชัย ยังกล่าวถึงการอภิปราย ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 ของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่หลายฝ่ายมองเป็นการคืนฟอร์มของพรรคว่า ตนได้พูดในการประชุมพรรคประชาธิปัตย์ครั้งที่แล้ว ว่า พรรคประชาธิปัตย์ จะเป็นฝ่ายค้านที่เข้มแข็ง ทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ในการตรวจสอบ ปกป้องผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่
“ฝากไปยังสื่อมวลชนให้เลิกพูดเสียทีว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคอะไหล่ หรือประชาธิปัตย์เล่นบทหน้าอย่างหลังอย่าง ขอร้องเลิกสักที ให้ดูความตั้งใจของพรรคประชาธิปัตย์ นับตั้งแต่วันอภิปราย ร่างกฎหมายงบประมาณที่ ส.ส. ประชาธิปัตย์ ทุกคนไม่ว่าจะคนใหม่หรือคนเก่าก็ทำงานอย่างเต็มที่ ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เสนอแนะในสิ่งที่คิดว่าประเทศชาติเป็นประโยชน์ และจะทำหน้าที่เข้มข้นแบบนี้ตลอดไป ขอให้รอดู หลายๆ กิจกรรมถ้ามีการพูดคุย กับผู้นำฝ่ายค้านเกี่ยวกับการดำเนินการในสภาร่วมกันต่อจากนี้”
ส่วนเวทีซักฟอกถือเป็นบทพิสูจน์ การทำงานของพรรคประชาธิปัตย์ครั้งแรก หรือไม่นั้น นายเฉลิมชัย กล่าวว่า เป็นเจตนารมณ์ของพรรคประชาธิปัตย์อยู่แล้ว ส.ส. ทุกคนทำหน้าที่อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าถูกบิดเบือนไป จากความเป็นจริง ย้ำว่า เราทำหน้าที่อย่างเต็มที่ และถ้าสังเกตเราจะให้คนรุ่นใหม่ เป็นผู้อภิปราย ทำงานอย่างเป็นทีมเป็นระบบ มี ส.ส.ที่มีประสบการณ์คอยช่วยเป็นพี่เลี้ยงดูแล และขอให้รอดูหลังจากนี้ มั่นใจว่าพรรคประชาธิปัตย์จะกลับมา เพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามประชาธิปัตย์ทำเต็มที่ ทุกอย่างจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านหรือรัฐบาลก็ทำเต็มที่ทุกอย่าง
แน่นอนว่า สำหรับบทบาทของพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงการอภิปรายร่างงบประมาณรายจ่ายครั้งล่าสุดนี้ ถือว่าพวกเขาทำหน้าที่ใช้ได้ทีเดียว และหากเทียบกับพรรคก้าวไกลที่เป็นแกนนำฝ่ายค้าน แต่กลับทำหน้าที่ไม่ได้โดดเด่นเท่าใดนัก ทำให้หลายคนเรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์แสดงบทบาทในฐานะพรรคฝ่ายค้านให้เต็มที่ ให้เป็นฝ่ายตรวจสอบรัฐบาลแบบ “ถึงน้ำถึงเนื้อ” แสดงตัวตนของพรรคประชาธิปัตย์แบบในอดีต แม้ว่าอาจจะเป็นเรื่องยาก แต่ก็เชื่อว่าหากพวกเขามีจุดยืนแบบนั้นชัดเจน พรรคก็อาจไม่ตกต่ำไปกว่านี้อีกแล้วก็ได้ !!