ศาลรัฐธรรมนูญ นัดวินิจฉัยปมนโยบายแก้ กม.ยกเลิก ม.122 ของพรรคก้าวไกล วันที่ 31 ม.ค.ปีหน้า “พิธา-ชัยธวัช” มั่นใจเป็นการใช้กระบวนการนิติบัญญัติ ไม่เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง
วันนี้ (25 ธ.ค.) ศาลรัฐธรรมนูญนัดไต่สวนพยานบุคคลในคดีที่ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร อดีตทนายความพระพุทธะอิสระขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ในขณะที่เป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกลและพรรคก้าวไกล ที่เสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ใช้เป็นนโยบายหาเสียง ถือเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ หลังการไต่สวนประมาณ 2 ชม. นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร อดีตทนายความพระพุทธะอิสระ กล่าวพอใตการไต่สวน โดยไม่มีสิ่งใดที่ยังคาใจ เพราะศาลก็เป็นครูอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ซึ่งก็จะต้องรอคำวินิจฉัยโดยศาลนัดฟังคำวินิจฉัยในวันพุธที่ 31 ม.ค. 67 เวลา 14:00 น
เมื่อถามว่า หากศาลวินิจฉัยในทางเป็นคุณกับผู้ร้องจะไปดำเนินการยื่นร้องให้มีการยุบพรรคก้าวไกลต่อหรือไม่
นายธีรยุทธ กล่าวว่า ยังไม่ได้คิดเพราะโดยหลักของการมาศาลมีข้อกำหนดไว้ว่าจะปรารถนาอย่างอื่นเกินกว่าที่ยื่นคำร้องไว้ไม่ได้ ถ้าศาลเห็นว่าเราปรารถนายิ่งกว่าที่ได้ยื่นคำร้องต่อศาลไว้ท่านก็อาจจะไม่ให้ความเห็นอย่างอื่นได้ ซึ่งตามคำร้องของตนคือปรารถนาเพียงว่าให้เกิดการหยุดการกระทำ ยกเลิกที่จะเปิดช่องทางให้มีการก้าวล่วงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามคำร้องจึงไม่ได้ขอให้มีการยุบพรรค เพราะประเด็นปัญหาตามคำร้องที่ยื่นไประบุว่า การที่จะมีช่องทางใดก็ตามที่จะไม่ให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ก้าวล่วงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งจะเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลาย แม้เพียงเล็กน้อย ซึ่งอาจขยายวงกว้างได้ในภายหน้า คิดว่าควรที่จะมีการยับยั้ง ซึ่งโดยอำนาจตนเองหรือประชาชนไม่สามารถทำได้แต่ต้องเป็นศาลรัฐธรรมนูญ
ส่วน นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกลและนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคทันทีที่เดินลงมาก็มีบรรดาแฟนคลับเข้าไปห้อมล้อมมอบดอกไม้ให้กำลังใจจำนวนมาก
นายชัยธวัช กล่าวว่า การไต่สวนเป็นไปด้วยดี ยังมั่นใจว่า ตามข้อเท็จจริงตามกฎหมายและเจตนาของเราสามารถชี้ได้ว่าไม่ได้เป็นการล้มล้างการปกครอง และก่อนหน้านี้ได้ทำคำชี้แจงในประเด็นสำคัญๆ ยื่นมาแล้ว วันนี้หลักๆ มาตอบคำถามที่ตุลาการซักถามเพิ่มเติม ซึ่งมีหลากหลาย พูดได้ไม่หมด โดยศาลไต่สวนตนและนายพิธาคนละรอบ และแจ้งว่า นัดฟังคำวินิจฉัยคดีนี้ในวันที่ 31 ม.ค. 67
“ยังเชื่อมั่นเหมือนเดิม ว่าการเสนอร่างกฎหมายโดยการใช้กระบวนการนิติบัญญัติ และแก้ไขมาตรา 112 รวมถึงกฎหมายอาญา หมิ่นประมาท เรายังมั่นใจว่า ไม่สามารถนำไปสู่การล้มล้างการปกครองได้ ทั้งนี้ การเสนอร่างใดๆ มีกระบวนการของสภาแล้วไม่ว่าจะเป็นวาระที่ 1 วาระที่ 2 วาระที่ 3 ซึ่งต้องใช้เสียงส่วนใหญ่ ต้องใช้กรรมาธิการในการคัดกรองพิจารณาเนื้อหาซ้ำอีกครั้ง ยังมีกระบวนการตรวจสอบความชอบด่วยรัฐธรรมนูญก่อนผ่านสภา ก่อนประกาศใช้จะสามารถตรวจสอบได้ ดังนั้น การเสนอกฎหมายไม่มีทางนำไปสู่การล้มล้างการปกครองได้“
ด้าน นายพิธา กล่าวว่า วันนี้ยังมั่นใจและพอใจ ที่ได้แถลงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ตอบข้อสงสัย ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ทุกสิ่งที่ตั้งใจมาเป็นไปตามความคาดหมาย มั่นใจว่า ข้อเท็จจริง ข้อเสนอแก้ไขทางนิติบัญญัติไม่ได้มาจากพรรคเราเป็นพรรคแรก แต่เคยมีทั้งในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ก็ดีรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ เช่นเรื่องแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในช่วงปี 2563-2564 ตอนนี้พรรคก้าวไกลไม่ได้เป็นพรรคเดียว ดังนั้นน่าจะยืนยันได้ในเรื่องของเจตนาว่า ไม่ได้มีเจตนาจะล้มล้างการปกครอง
เมื่อถามว่า หากผลการตัดสินออกมาเป็นคุณทั้ง 2 คดีจะกลับมาเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ไม่ว่าผลการตัดสินจะออกมาเป็นอย่างไรก็ยังทำงานกับพรรคก้าวไกล ในส่วนของบทบาทใรพรรคก้าวไกลก็ต้องรอเดือนเม.ย.2567 ที่จะมีการประชุมใหญ่วิสามัญใหญ่ ส่วนตัวไม่ได้ยึดติดอะไร สามารถทำงานการเมืองได้ทุกรูปแบบ ไม่กังวลใจยังสามารถทำงานต่อได้
ส่วนการแก้ไขมาตรา 112 ยังจะสามารถเป็นนโยบานหาเสียงครั้งต่อไปได้หรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า นโยบายเป็นของสส.ชุดที่แล้ว เป็นเอกสิทธิ์ของสส.ชุดที่แล้ว ตอนนี้เป็นสส.ชุดใหม่ ซึ่งยังไม่ได้มีการหารือพูดคุยในกันในพรรคว่า ปัจจุบัน อนาคตจะเป็นอย่างไร เพราะตอนนี้ก็ยังเป็นข้อพิพาทในศาลรัฐธรรมนูญอยู่
เมื่อถามต่อว่า หากศาลวินิจฉัยให้ยุติ ยกเลิกนโยบายนี้จะส่งผลกระทบต่อจุดยืนการทำงานของพรรคก้าวไกลหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า ต้องรอคำวินิจฉัยที่จะออกมาก่อน เป็นเรื่องของสส.แต่ละคน ดูสถานการณ์บริบทของบ้านเมืองซึ่งแตกต่างกันไป ตอนที่เรายื่นตอนนั้นก็ต้องเข้าใจว่าบริบทการเมืองตอนนั้นมีการใช้ความรุนแรง มีคดีมาตรา 112 เพิ่มขึ้นจากหลักสิบเป็นหลักร้อยเป็น 268 คดี ในปี 2563 มีเยาวชน20กว่าคนถูกดำเนินคดี ดังนั้น ในปี 2564 เราจึงคิดว่า นี่เป็นทางออกของการเมืองตอนนั้น ดังนั้นหลายเรื่อง หลายๆ เวลา ต้องดูว่าสิ่งสำคัญในระบบยุติธรรมคือการได้สัดส่วน เมื่อมีการละเมิดสิทธิ์ก็ต้องใช้ทางออกในรัฐสภาที่เรายึดถือณ ตอนนั้น ตอนนี้ก็ต้องแล้วแต่สส.แต่ละคน และสถานการณ์
เมื่อถามว่า ประเมินตัวเองหลังไต่สวนให้กี่คะแนน นายพิธา กล่าวว่า คงไม่ตอบเป็นตัวเลขแต่พอใจ หากย้อนกลับไปได้เท่าที่ตัวเองคิดตอนนี้ ก็คิดว่าไม่มีอะไรอยากจะทำเพิ่ม ทำเต็มที่แล้ว ตอนนี้ต้องรอคำพิพากษา ส่วนผู้เชี่ยวชาญที่มาให้ปากคำ เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย คณะนิติศาสตร์และคณะรัฐศาสตร์ 4-5 ท่าน มาให้ความเห็น ส่วนรายละเอียดให้ความเห็นอย่างไรนั้นไม่สามารถบอกได้.
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลรัฐธรรมนูญแจ้งว่า คดีนี้ศาลรัฐธรรมนูญไต่สวนพยาน รวม 2 ปาก คือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และนายชัยธวัช ตุลาธน โดยตอบข้อซักถามของศาลและของคู่กรณี คดีเป็นอันเสร็จการไต่สวน ศาลนัดแถลงการณ์ด้วยวาจา ประชุม ปรึกษาหารือ และลงมติในวันพุธที่ 31 ม.ค.67 เวลา 09.30 น. กับนัดฟังคำวินิจฉัย เวลา 14.00 น.