ข่าวปนคน คนปนข่าว
**งานนี้ต้องถึง "นายกฯนิด" อีกไหม? DSI ตื่นหน่อย "เฮียเก้า" น้องคนสนิทอดีต รมต.เจ้าเดิมงาบทั้งหมูเถื่อนจนมาถึงตีนไก่!
ความหมูเถื่อนยังไม่คลี่คลายความไก่ก็เข้ามา แถมตัวละครที่เกี่ยวข้องยังหน้าเดิมและรูปแบบ"บูรณาโกง"ก็เหมือนกันเป๊ะ!
คนที่ปูดเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นเป็น "ลุงอัจ" อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมคนเดิม เพิ่มเติมคือ นำเอกสารเส้นทางการเงิน เอกสารเกี่ยวกับการสำแดงเท็จการนำเข้าและส่งออก รวมทั้งภาพถ่ายของกลางตีนไก่และปีกไก่สวมสิทธิ จำนวน 3 แฟ้ม ยื่นร้องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอให้ตรวจสอบและดำเนินคดีกับ “เฮียเก้า” ชาวจีน กับพวก
ถ้ายังจำคดีหมูเถื่อนกันได้ "เฮียเก้า" ซึ่งว่ากันว่า เป็นน้องคนสนิทของ “อดีตรัฐมนตรี” มีตำรวจระดับสูงยศ “พลตำรวจโท” หนุนหลัง
กลุ่มของเฮียเก้านี้ถูกพบว่า เชื่อมโยงกับการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อน 10,000 ตู้ ซึ่งดีเอสไอมะงุมมะงาพายเรือเกลือสอบสวนจนทำให้ "นายกฯนิด" เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กริ้วมาแล้ว
คราวนี้มาถึงไก่ เรียกว่า "เฮียเก้า" คนของอดีตรัฐมนตรี หากินทั้งหมูเถื่อน และ ไก่ โดยลักลอบนำเข้าปีกไก่และตีนไก่สำแดงเท็จจากบราซิลและอุรุกวัย ส่งออกไปประเทศจีน มากกว่า 1,000 ตู้ ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2564 ถึงปัจจุบัน สร้างความเสียหายหลายพันล้านบาท!
ตามข้อมูลบอกว่า เฮียเก้ากับพวกได้ร่วมกัน ลักลอบนำเข้าตีนไก่และปีกไก่ จากบราซิลและอุรุกวัย เมื่อมาถึงประเทศไทยที่ท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรือคลองเตย จะมีผู้ร่วมขบวนการเป็นบริษัทชิปปิงและเจ้าหน้าที่รัฐสำแดงเอกสารเท็จเปลี่ยนจากตีนไก่เป็น "ปลาแซลมอน" เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี
จากนั้นนำตีนไก่และปีกไก่ ไปยังห้องเย็นของผู้ร่วมขบวนการเพื่อเปลี่ยนแพ็กเกจ ให้เป็นตีนไก่และปีกไก่ภายใต้ชื่อบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งในไทย เพื่อสวมสิทธิส่งออกตีนไก่และปีกไก่ไปขายที่ประเทศจีนโดยที่บางบริษัทก็ไม่มีส่วนรู้เห็น แต่มีเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ประทับตราในเอกสารเพื่อยืนยัน
ว่ากันว่า เงินสะพัด ส่วยเบ่งบาน มีการจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ ตู้คอนเทนเนอร์ละ 350,000 บาท และมีบัญชีม้าเข้ามาเกี่ยวข้องจำนวนมาก
งานนี้ อิ่มหมีพีมันถ้วนทั่ว ทั้งปศุสัตว์-ศุลกากร และ กรมประมง
อันที่จริงแล้ว ดีเอสไอ เคยบุกเข้าจับกุมตีนไก่สวมสิทธิของเฮียเก้ามาแล้ว 1 ครั้ง ที่ท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรือคลองเตย จำนวน 170 ตู้คอนเทนเนอร์ เมื่อปี 2565 ซึ่ง "ลุงอัจ" บอกว่า มีพยานยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ เรียกรับเงินใต้โต๊ะไม่ต่ำกว่า 10-50 ล้านบาท แลกกับการไม่ดำเนินคดี และตัดตอนไม่ให้สาวไปถึงเฮียเก้า
ที่น่าตกใจดีเอสไอชุดดังกล่าวชุดร่วม "บูรณาโกง" ยังได้นำข้อมูลเบาะแสที่พยานหรือสายลับนำมามอบให้ดีเอสไอ นำไปขายให้กับกลุ่มเฮียเก้าด้วย..อุเหม่!
ถ้าหากเป็นจริงก็ไม่ต้องสงสัยทำไมขบวนการ "หมูเถื่อน-ไก่ส่งออก" ของเฮียเก้าและพวกคนอื่นๆจึงอยู่ยงคงกระพันฟันแทงไม่เข้าลอยนวลอยู่บนกองเงินกองทอง
ชะรอยงานนี้จะต้องให้ "นายกฯนิด" ลงมาฟิตเครื่องให้ “ดีเอสไอ” อีกหรือเปล่า?
**90 วันผ่าน “รัฐบาลเศรษฐา” ส่งกราฟฟิกอวดผลงานสารพัด ไม่พ้นถูก “นายกฯรถแห่” วิพากษ์ “คิดใหญ่ทำเล็ก-คิดอย่างทำอย่าง” ส่วน “สว.วันชัย” ให้สอบตก 4 เต็ม 10 เปรียบรำสวย ไร้แต้ม
ติดพันภารกิจอยู่ต่างแดน เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่อยู่ระหว่างเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ เพื่อฉลองวาระครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์อาเซียน-ญี่ปุ่น และเพิ่งเดินทางกลับถึงประเทศไทย เมื่อช่วงกลางดึกวานนี้ (18 ธ.ค.66)
แต่ “นายกฯเศรษฐา” ก็ไม่ลืม “ไทม์สแตมป์” ห้วงเวลาสำคัญของรัฐบาล โอกาสครบรอบ 90 วันที่เข้ามาบริหารประเทศอย่างเป็นทางการ ที่ต้องย้อนนับหนึ่งวันแรกหลังการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อที่ประชุมรัฐสภา เมื่อวันที่ 11-12 ก.ย.66 สั่งการปูพรมภาพกราฟฟิกผลงานรัฐบาลในรอบ 90 วันแรกออกมา ภายใต้มอตโต้ “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส เร่งแก้ไขปัญหาให้ประชาชน”
มีการขนผลงานมา “อวด” สารพัด อาทิ การปรับลดราคาค่าไฟฟ้า-ราคาน้ำมัน-ค่าโดยสารรถไฟฟ้า, ตรึงราคาขายปลีกก๊าซหุงต้ม LPG, พักหนี้เกษตรกร, เดินหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบเป็นวาระแห่งชาติ, ฟรีวีซ่ากระตุ้นการท่องเที่ยว, ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ, ขยายเวลาปิดสถานบริการ นำร่อง 4 จังหวัด, ผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ และโครงการแลนด์บริดจ์เปิดประตูการค้าสองฝั่งมหาสมุทร เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมี “นโยบายเรือธง” อย่างโครงการดิจิทัลวอลเล็ต (Digital Wallet) 10,000 บาท ที่แม้จะยังไม่เป็นรูปธรรมเป็นรูปเป็นร่าง แต่ก็ไม่ลืมที่จะหยิบเอามา “อวด” ด้วย
ทั้งนี้ทั้งนั้น หมอชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ได้ขยายกราฟฟิกที่ปล่อยออกมาประมาณว่า สิ่งที่นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลได้ทุ่มเททำลงไป จะเริ่มผลิดอกออกผลให้เห็นตั้งแต่กลางปี 2567 หรือให้รอดูผลสัมฤทธิ์ช่วงกลางปีหน้า หรือห้วงที่รัฐบาลอายุครบ 1 ปี
แม้ในมุมของรัฐบาลจะพยายามโชว์ว่า 90 วันที่ผ่านมามีผลงานทั้งที่จับต้องเป็นรูปธรรมแล้ว และมีที่รอผลิดอกออกผลในอนาคตอันใกล้ จำนวนมาก
แต่ในมุม “คนนอก” อาจจะเห็นต่าง โดยเฉพาะฝ่ายค้านอย่าง พรรคก้าวไกล ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลมาโดยตลอด ในห้วงครบรอบ 90 วันรัฐบาล ก็ปล่อยคิวให้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และแคนดิเดตนายกฯของพรรค ออกมาชำแหละผลงานรัฐบาล แถลงข่าวการวิเคราะห์การดำเนินงาน 100 วันแรกของรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน เมื่อช่วงสัปดาห์ก่อน
มองผิวเผินแล้ว เจ้าของสมญา “นายกฯรถแห่” การวิพากษ์ในหัวข้อ “กรอบ 5 คิด’s” ก็ “เกือบ” ที่จะพูดได้ว่า วิพากษ์อย่างสร้างสรรค์ เพราะมีส่วนที่ชื่นชมรัฐบาลว่า “คิดดี ทำได้” เช่นการช่วยตัวประกันชาวไทยในอิสราเอล, วัคซีน HPV มะเร็งปากมดลูก และหนี้ในระบบ นอกระบบ (พักหนี้)
แต่ส่วนที่ชมก็หมดแค่นั้น เพราะอีก “4 คิด” ดูจะออกไปทาง “ด้อยค่า” ผลงานรัฐบาล ทั้งคิดไป ทำไป-คิดสั้น (ยัง) ไม่คิดยาว-คิดใหญ่ ทำเล็ก-คิดอย่าง ทำอย่าง
นอกจากนี้ “พิธา” ยังเสนอให้รัฐบาลกำหนดโรดแมป และตัวชี้วัดการทำงานในปีหน้าให้ชัดเจนกว่านี้
อีกรายที่ออกมาพูดถึงผลงานรัฐบาลในรอบ 90 วันแรกไว้อย่างน่าสนใจ เป็นรายของ วันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่หากจำกันได้ในช่วงที่จะมีการประชุมรัฐสภาเพื่อลงมติเลือกนายกฯคนที่ 30 “สว.วันชัย” ถือเป็นตัวตั้งตัวตีในการสนับสนุนการยกมือโหวตให้ “เศรษฐา” เป็นนายกฯ
มาวันนี้ดูเหมือน “สว.วันชัย” จะไม่ค่อยปลื้มกับผลงานรัฐบาลเศรษฐาเท่าไรนัก เพราะชูป้ายให้คะแนนแค่ 4 จากคะแนนเต็ม 10 เท่านั้น หรือพูดง่ายว่า “สอบตก” นั่นเอง พร้อมขยายความว่า ที่ให้เพียง 4 คะแนน เพราะได้แต่ภาพ อีเวนต์ การลงพื้นที่ ได้แต่ฉาบฉวย แต่ผลงานชิ้นเป็นอันจับต้องได้ ยังไม่มี
“เปรียบเหมือนมวยที่คนต่อยหนัก ต่อยตลอด แต่ต่อยไม่ตรงเป้า มันวืดไปหมด นายกฯ รำมวยสวย ไหว้คนสวยงาม ลงพื้นที่เก่ง แต่ชกไม่ตรงเป้า ไม่ได้คะแนน เสียดาย” สว.วันชัย เปรียบไว้ให้เห็นภาพ
เอาเข้าจริงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ออกมาจากทั้ง “พิธา-วันชัย” ก็ดูเหมือนจะไม่เกินเลยจากความรู้สึกคนไทยเท่าไร เพราะหากชำแหละแจกแจงการทำงานของรัฐบาลในห้วง 90 วันแล้ว ก็ดูจะไม่เห็นมรรคเห็นผลเท่าที่ควร
ที่ดูจะเป็นภาพจำมากที่สุด ไม่พ้นการเดินทางไปเยือนต่างประเทศ ที่ไปมาแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ประเทศ บางประเทศไปแล้ว 2 ครั้ง แม้จะเป็นภารกิจการร่วมประชุมสำคัญ แต่ในมุมมองคนไทยที่ยังเดือดร้อนจากสารพัดปัญหา อดยากปากแห้ง ชัดหน้าไม่ถึงหลัง ก็มองว่า เป็นการเดินทางไปต่างประเทศที่ดูมากเกินไป
มีการคำนวณเวลาการทำงานของ “นายกฯเศรษฐา” ด้วยว่า หมดไปหนึ่งเดือนกับการตระเตรียมและทำความเข้าในการทำงานราชการ หลังพลิกบทบาทจากผู้บริหารภาคเอกชน และหมดไปอีกเดือนกับการไปเยือนต่างประเทศ ตีซะว่าไปเยือน 10 ประเทศ เฉลี่ยประเทศละ 3 วัน เหลือเวลาทำงานเต็มๆ แค่ 1 เดือนเท่านั้น
แต่หากจะตัดเกรดตัดสินรัฐบาลตั้งแต่ 90 วันแรกก็ดูจะไม่เป็นธรรมเท่าไร เพราะเทียบแล้วก็แค่เพิ่งผ่าน “โปร” ช่วงทดลองงานเท่านั้น
น่าเห็นใจไม่น้อยที่รัฐบาลชุดนี้ที่การเข้าสู่อำนาจ ดูจะตะกุกตะกัก จนอาจพูดได้ว่า ไม่มีช่วงเวลา “ฮันนีมูน” ให้ดื่มด่ำ แต่ก็พอบ่ายเบี่ยงว่า ขอเวลาทำงานก่อน มาได้พอสมควร
เมื่อพ้น 90 วันแรกที่เสมือนผ่านช่วงทดลองงานไปแล้ว คงไม่มีข้ออ้างอะไรให้บ่ายเบี่ยงอีก และต้องเจอกับ “ของจริง” ล้วนๆ.