xs
xsm
sm
md
lg

มหาดไทยว่ายังไง? วางมวย “ทวงหนี้”กลางทำเนียบฯ ขณะนายกฯแถลงแก้หนี้ทั้งระบบ **เบื้องหลัง “มาดามเดียร์” ยึดปชป.ไม่สำเร็จ คนที่ผิดหวังคือ“เจ้าสัว”!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ข่าวปนคน คนปนข่าว

**มหาดไทยว่ายังไง? วางมวย “ทวงหนี้”กลางทำเนียบฯ ขณะนายกฯแถลงแก้หนี้ทั้งระบบ

ใครจะไปคิดว่าในทำเนียบรัฐบาล ห่างจากเก้าอี้นั่งทำงานของนายกรัฐมนตรีไม่กี่สิบเมตร จะมีคนเข้าไปก่อเหตุชกต่อยกันได้ง่ายๆ

เมื่อวานนี้ (12 ธ.ค.) หลังประชุมครม.ได้มีเหตุชุลมุนเกิดขึ้นในร้านกาแฟ APCD 60+ ด้านข้างของตึกบัญชาการ 1 สถานที่ประชุมคณะรัฐมนตรี

เมื่อชายผู้ก่อเหตุ นามว่า “อิทธิพล” (ขอสงวนนามสกุล) ใส่เสื้อบาเลนเซียกา กางเกงกุชชี่ นั่งรถปอร์เช่ เข้ามาในทำเนียบฯ แล้ววนมาจอดข้างร้านกาแฟดังกล่าว จากนั้นก็ลงจากรถ แล้วเดินปรี่เข้าไปชกที่ท้ายทอยชายอีกคนที่นั่งอยู่ในร้านก่อนแล้ว ทราบภายหลังว่า เป็นผู้ช่วย ส.ส.ของ “ชูชัย มุ่งเจริญพร” ส.ส.พรรคเพื่อไทย จังหวัดสุรินทร์ นั่นเอง

เหตุการณ์นี้สร้างความตกตะลึงแก่ผู้ที่กำลังนั่งจิบกาแฟอยู่ภายในร้าน และตำรวจทำเนียบฯ ต้องรีบเข้าไปห้ามปราม แยกคู่กรณีออกจากกัน พร้อมกับประสานให้ตำรวจ สน.ดุสิต มาเชิญตัวทั้งคู่ไปสอบปากคำที่โรงพัก

อนุทิน ชาญวีรกูล
งงกันอยู่เหมือนกันว่า หนุ่มปอร์เช่คนนี้ เข้ามาในเขตทำเนียบฯได้ยังไง ก็ทราบภายหลังว่า ที่ผ่านมา รปภ. เข้ามาได้ก็เพราะมีบัตรเข้าทำเนียบฯ ตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว และอ้างว่าเป็นทีมงานของ “สมคิด เชื้อคง” รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง จะเข้ามาทำเนียบฯ เพื่อพบ “ท่านสมคิด” นั่นแหละ

ร้อนถึง “รองเลขาฯ สมคิด” ต้องออกมาชี้แจงว่า มือชกรายนี้ ไม่ใช่ทีมงานของตนแน่นอน ไม่ได้อยู่ในรายชื่อที่จะแต่งตั้ง และไม่ได้นัดหมายให้เข้ามาพบ แต่ก็ยอมรับว่าเคยเจอกันครั้งเดียวที่มากับ “เวียง วรเชษฐ์” อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีในรัฐบาลที่แล้ว

มือชกจะใช่หรือไม่ใช่ทีมงานของ “รองเลขาฯ สมคิด” ก็ว่ากันไป แต่ประเด็นมันมาพีกตรงที่ปมเหตุที่นำไปสู่การชกกลางทำเนียบฯ นี่แหละ

เพราะเท่าที่ทราบ ปมเหตุมาจากการ “ทวงหนี้”!!

เป็นการทวงหนี้กลางทำเนียบฯ ขณะที่นายกรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน” กำลังจะแถลงเรื่อง“จัดการหนี้ทั้งระบบ” ในทำเนียบรัฐบาล ใกล้ๆกับร้านกาแฟที่เกิดเหตุชกต่อยกันเพราะเรื่องทวงหนี้นั่นเอง

แล้วอันที่จริง นี่ก็เป็นการแถลงใหญ่เรื่องการแก้ไขหนี้ ครั้งที่ 3 แล้ว หลังจากที่ได้แถลงครั้งแรก กำหนดให้การแก้ไขหนี้นอกระบบเป็นวาระแห่งชาติ เมื่อวันที่ 28 พ.ย. และแถลงอีกครั้ง เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. สำหรับการแก้หนี้ในระบบที่มีปัญหา

“อิทธิพล” ผู้ก่อเหตุทวงหนี้โหดในทำเนียบฯ
ย้อนกลับไป เมื่อวันที่ 28 พ.ย. วันประกาศวาระแห่งชาติเรื่องการแก้ปัญหานี้นอกระบบ “นายกฯ นิด” เศรษฐา ทวีสิน แถลงที่ทำเนียบรัฐบาล ประกาศเอาจริงเอาจังกับการสะสางปัญหาหนี้นอกระบบ ที่เจ้าหนี้เอารัดเอาเปรียบลูกหนี้ เสมือนเป็นการค้าทาสยุคใหม่ เพื่อคืนอิสรภาพทางการเงินให้กับประชาชน

คนที่นั่งข้างๆ นายกฯในวันนั้น ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็น “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย นั่นเอง ในฐานะเป็นกำกับดูแลฝ่ายปกครอง ซึ่งนายกฯ ได้มอบหมายให้ร่วมกับตำรวจเป็นตัวกลางนำเจ้าหนี้ และลูกหนี้นอกระบบ มาเจรจาไกล่เกลี่ยรอมชอม ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน อย่าใช้ความรุนแรงกดดันกันจนเกิดปัญหาบานปลาย ถึงขั้นเลือดตกยางออก หรือเสียชีวิต

และในวันนั้นเอง “เสี่ยหนู” ก็ได้แถลงต่อหน้านายกฯว่า ในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ขอยืนยันจะนำแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบที่รัฐบาลได้กำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ ไปดำเนินการอย่างทันท่วงที และมีประสิทธิภาพต่อไป โดยจะใช้เครือข่ายและกลไกการทำงานที่ครอบคลุมพื้นที่ทั่วทั้งประเทศ และใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด ตั้งแต่ระดับผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน ที่มีความใกล้ชิดสนิทสนม และได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชน ซึ่งถือว่าเป็นจุดแข็ง ที่จะใช้ในการขับเคลื่อนภารกิจนี้

 สมคิด เชื้อคง
จากวันนั้น เวลาก็ผ่านมา 2 สัปดาห์แล้ว ก็ไม่รู้ว่ากลไกมหาดไทย ได้ช่วยแก้ไขหนี้นอกระบบให้ประชาชนคืบหน้าไปถึงไหน

แต่ที่แน่ๆ ข่าวลูกหนี้นอกระบบถูกกดันจากเจ้าหนี้จนต้องฆ่าตัวตายก็ยังมีอยู่ อย่างข่าว 2 ตายาย ที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยวันละ 3,000 บาท จนสุดท้ายไม่มีทางออก ฝ่ายตา ต้องฆ่าตัวตาย เพื่อให้ยาย ได้เงินฌาปณกิจ เอาไปใช้หนี้ อย่างนี้เป็นต้น

และที่น่าอับอายที่สุด การใช้ความรุนแรงทวงหนี้ ก็เกิดขึ้นในทำเนียบรัฐบาล ศูนย์บัญชาการแก้หนี้ของประเทศเสียเอง.

**เบื้องหลัง “มาดามเดียร์” ยึดปชป.ไม่สำเร็จ คนที่ผิดหวังคือ“เจ้าสัว”!!

การก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ของ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” และพลพรรค 21 สส. ในเครือข่าย ที่ยึดกุมตำแหน่งต่างๆในคณะกรรมการบริหารพรรคครั้งนี้ ถือว่าเป็นชัยชนะแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของ “กลุ่มเฉลิมชัย”

เฉลิมชัย ศรีอ่อน
คนที่พ่ายแพ้ นอกจาก “ชวน หลีกภัย” ผู้อาวุโส ที่เป็นอดีตหัวหน้าพรรค อดีตประธานสภาที่ปรึกษาพรรค ซึ่งพยายามดัน “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตหัวหน้าพรรคขึ้นสู้ เพื่อรักษา สืบทอด “อุดมการณ์ของพรรค” แต่ไม่สำเร็จ เพราะนอกจาก “อภิสิทธิ์”จะถอนตัว แล้วยังประกาศลาออกจากสมาชิกพรรค ชนิดที่ “นายหัวชวน” ยังคาดไม่ถึง

อีกคนที่ไปไม่ถึงเป้าหมายคือ “มาดามเดียร์” วทันยา บุนนาค ที่เปิดตัวมาทำท่าว่าจะไปได้สวย ขายความเป็นคนรุ่นใหม่ ตั้งใจจะเข้ามากอบกู้พรรคที่กำลังอยู่ในภาวะวิกฤต... แต่เธอเพิ่งเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคได้ไม่ถึง 5 ปี จึงมีปัญหาเรื่องขาดคุณสมบัติการเข้าชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค แต่ปัญหานี้จะได้รับการยกเว้น ถ้ามีเสียงสมาชิก 3 ใน 4 ของที่ประชุมให้การรับรอง

ข้อจำกัดนี้เจ้าตัวเชื่อว่าจะผ่านไปได้ หลังจากได้คุยกับผู้หลักผู้ใหญ่และสมาชิกระดับหัวหน้าภาคต่างๆ... แต่แล้วก่อนโหวต ก็มี “ใบสั่ง”ผ่านไลน์ ไม่ให้ยกเว้นเรื่องคุณสมบัติให้เธอ

วทันยา บุนนาค
สุดท้าย “มาดามเดียร์” ก็ไม่ผ่านด่าน ถูกตัดตอน ไม่ให้เข้าไปชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรค ซึ่งคนที่แพ้จากเหตุการณ์นี้ ก็คือนายทุนที่เป็นแบ็ก หนุนหลัง มาดามเดียร์

กล่าวถึง “ทุน” ที่อยู่เบื้องหลังนั้น คนทั่วไปอาจเห็นเพียงภาพ “ทุนสื่อ” ที่ “ฉาย บุนนาค” สามีมาดามเดียร์ เป็นประธานกรรมการบริหารอยู่
นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง หรือส่วนน้อย แต่ยังมีทุนใหญ่ระดับ “เจ้าสัว” ที่ต้องการยึดพรรคประชาธิปัตย์ อยู่เบื้องหลังอีกทีหนึ่ง

“เจ้าสัว” ที่กล่าวถึงนี้ เป็นเจ้าสัวคนเดียวกับที่ให้การสนับสนุน อยู่เบื้องหลัง “พรรคประชาชาติ”

เมื่อ “มาดามเดียร์” ไปไม่ถึงเป้าหมาย คนที่ผิดหวังคือ “เจ้าสัว” คนนี้!! ...เพราะหากมี 9 เสียง จากพรรคประชาชาติ บวกกับ 25 เสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะเป็น 34 เสียง ซึ่งถือว่ามีความหมาย มีพลังในการต่อรองทางการเมืองอยู่มากพอสมควร

การที่ “เจ้าสัว” อยู่เบื้องหลัง ผลักดันให้ “มาดามเดียร์” มายึดพรรคประชาธิปัตย์ในครั้งนี้ ใช่ว่า “กลุ่มเฉลิมชัย” จะไม่รู้ ...เมื่อรู้แล้วยังจะปล่อยให้ยึดไปได้ง่ายๆ หรือ ปรากฏการณ์ “เท” มาดามเดียร์ จึงเกิดขึ้น

ชวน หลีกภัย
ขณะเดียวกัน ก็เหมือนเป็นการส่งสัญญาณว่า ถ้า“เจ้าสัว” ต้องการจะ “เปิดดีล” ก็สามารถมาเจรจากับ “กลุ่มเฉลิมชัย” ได้โดยตรง ไม่จำเป็นต้องให้ “มาดามเดียร์”มายึดพรรค ทำแบบนั้นใครจะยอมได้

เพราะประชาธิปัตย์มี สส.ทั้งหมด 25 เสียง เฉพาะกลุ่มเฉลิมชัย ก็มี 21 เสียงเข้าไปแล้ว ที่อยู่นอกกลุ่มก็มีเพียง 4 เสียงคือ “ชวน หลีกภัย -บัญญัติ บรรทัดฐาน-จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์- สรรเพชญ บุญญามณี”

เชื่อว่าหลังจากนี้ จะมีการ “เปิดดีล” ระหว่าง“เจ้าสัว”กับ “เฉลิมชัย” ค่อนข้างแน่ จะช้าหรือเร็วเท่านั้น!!

หากดีลลงตัว ก็อาจจะได้เห็น “มาดามเดียร์” ลาออกจากพรรคไปอีกคน...แต่ก็ไม่แน่ ถ้า “เจ้าสัว” ยังต้องการให้มาดามเดียร์ อยู่เป็นตัวแทนตนเองในพรรค ก็จะเห็นเธออยู่ช่วยงานพรรคต่อไป

แต่สำหรับ “ชวน หลีกภัย” แม้จะแพ้ในศึกนี้ แต่ก็จะยังอยู่เป็นผู้อาวุโสของพรรคต่อไป...ไม่แน่ “กลุ่มเฉลิมชัย” อาจจะสะดุดขาตัวเองล้มก็ได้ และเมื่อนั้น “ชวน” ก็จะยืนเป็นหลักให้กับพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้ง


กำลังโหลดความคิดเห็น