อดีตประธานรัฐสภา หนุนแก้มาตรา 256 ปลดล็อกเสี้ยนหนามแก้ รธน. ด้าน รองเลขาฯ นายกฯ ยันไม่มีเตะถ่วง ใช้งบอย่างมีประโยชน์ ชี้ แม้ก้าวไกลจะไม่ร่วมวง แต่อยู่ระหว่างการปรับจูน
วันนี้ (6 ธ.ค.) นายโภคิน พลกุล อดีตประธานรัฐสภา กล่าวผ่านรายการมองรัฐสภาถึงการทำประชามติในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า ความยากของการประชามติ คือ ต้องได้เสียงข้างมากเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ และผู้มาออกเสียงเห็นชอบ ดังนั้น จึงไม่ง่าย และอาจจะไม่ผ่านแต่หากมีคำถามพ่วง เช่น ไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 ต้องระวัง เพราะอาจจะมีคนที่ไม่เห็นด้วย ไม่ออกมาใช้สิทธิ หากไม่มีคำถามพ่วงประเด็นดังกล่าว ก็จะเกิดการรณรงค์ให้คนไม่ออกไปใช้สิทธิ ดังนั้น สิ่งที่กำลังคิด คือ การคิดมากด้วยกันทั้งสิ้น คิดไปคิดมา คิดเชิงซับซ้อน ตนมองว่าอาจจะไม่ได้แก้ไข
“ต้องเอาเสี้ยนตรงนี้ออกไปก่อน หากจะคิดถึงชนวนปัญหาที่ทำให้คิดมาก อาจจะคิดแล้วก็ยังอยู่ที่เดิม ดังนั้น ต้องมีการปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ได้ หากคิดในเชิงซับซ้อน ต้องทำประชามติอย่างไร ผมมองว่าหากไม่แก้มาตรา 256 ให้เป็นปกติ ประเทศนี้ไปไม่ได้ ชีวิตของประชาชนที่เกี่ยวข้องไปไม่ได้ ดังนั้นควรเสนอว่าควรแก้ มาตรา256 ให้เป็นปกติ ที่เหลือทำอะไรก็ได้หมด” นายโภคิน กล่าาว
ขณะที่ นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองเลขาธิการนายกฯ กล่าวว่า กรรมการศึกษาแนวทางการจัดทำประชามติของรัฐบาลเตรียมจะสรุปและเสนอให้รัฐบาลพิจารณาในช่วงต้นปี 2567 อย่างแน่นอน ส่วนกรณีที่มีประเด็นการแก้ไขพ.ร.บ.ประชามติ กรรมการเห็นว่าจำเป็นต้องแก้ไข แต่ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณา
นายชนินทร์ กล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีที่มีข้อวิจารณ์ว่ารัฐบาลพยายามยื้อกลไกประชามติหรือไม่ ตนขอชี้แจงว่า ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา เกิดข้อถกเถียงในสังคมจำนวนมาก เช่น ก่อนหน้านี้ มีข้อเสนอของพรรคก้าวไกลแต่ระยะหลังได้เปลี่ยนแปลงตามเสียงสะท้อน และแม้พรรคก้าวไกลจะไม่ตอบรับเข้าร่วมเป็นกรรมการที่ตั้งโดยรัฐบาล แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับจูน แสดงให้เห็นว่าเกิดการผสานปรับความร่วมมือเข้าหากัน
“ผมเชื่อว่า สุดท้ายจะสอดคล้องและการทำประชามติจะเห็นพ้องจากทั้งผู้สนับสนุนรัฐบาล และฝ่ายค้าน ขอให้มั่นใจการทำงานของรัฐบาล ไม่ได้เตะถ่วง ใช้เวลาเท่าที่จำเป็น และคำนึงถึงการใช้งบประมาณของรัฐที่ไม่เปล่าประโยชน์ ซึ่งหวังว่าจะเกิดกระบวนการขับเคลื่อนต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ” นายชนินทร์ กล่าว