ข่าวปนคน คนปนข่าว
**บิ๊กเซอร์ไพรส์ =เสรีพิศุทธ์+อนันต์ชัย เมื่อแผนเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว แก้เก้อเด็ดดอกไม้ปักแจกันแทน !?
ประกาศไว้ล่วงหน้าให้รอชม “บิ๊กเซอร์ไพรส์” ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายคดีค้นบ้าน และลูกน้องของ “บิ๊กโจ๊ก”พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พัวพันเว็บพนันออนไลน์ พอถึงเวลานัดแนะ วานนี้ (5 ต.ค.) เจ้าตัวยังโหมโรงโพสต์เฟซบุ๊ก ตัวเองอีกว่า ตื่นเต้นเร้าใจแน่ ก่อนจะเปิดฉายตัวอย่างหนังภายใต้ชื่อ “Super Big Surprise วงการสีกากี” ในเวลาต่อมา ท่ามกลางผู้ชมที่ตั้งตารอคอยได้ดูชมแล้วบ้างเกาหัวกันแกรกๆ บ้างสงสัยว่า นี่ใช่เรื่องเดียวกันป่ะ?
ตัวอย่างหนังบู๊ที่ว่า “ทนายอนันต์ชัย” บิวด์อารมณ์คนดูให้เหมือนกำลังอยู่ในฉาก ระเบิดภูเขา เผากระท่อม บทพระเอก ที่เดิม “บิ๊กโจ๊ก” จะต้องเล่น เปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่จะมา”เซอร์ไพรส์” โดยว่า ตอนนี้ “ฮ่องเต้” เปลี่ยนไปแล้ว ลืม “บิ๊กโจ๊ก” ไปได้เลย ฮ่องเต้ตัวจริง เป็นผู้ใหญ่ที่เห็นแล้วจะตกใจ และเป็นดับเบิ้ลบิ๊กเซอร์ไพรส์ และเป็นเรื่อง "เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาวบนบ่า" ซึ่งจะไม่มีใส่เกียร์ถอยเหมือน บิ๊กโจ๊ก แน่
แถมยังบอกด้วยว่า เหตุที่ “บิ๊กโจ๊ก” ถอนเพราะมีคนใหญ่คนโตในรัฐบาล “ยกหู” สั่ง"บิ๊กโจ๊ก" ห้ามพูด ตัวเองรู้ว่าเป็นใคร แต่ยืนยันว่า ไม่ใช่ตำรวจ ไม่ใช่ “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล” ผบ.ตร.
เมื่อถึงเวลาฉายจริง ปรากฏภาพ ทนายอนันต์ชัย มาพร้อม “พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส” หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เดินทางไปยื่นหนังสือร้องเรียนต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ขอให้ตรวจสอบ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ก.ตร.คนอื่นๆ รวมแล้ว 10 คน กรณีแต่งตั้ง “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยมิชอบ ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 และมาตรา 91 เนื่องจากไม่ได้คำนึงถึงหลักอาวุโส ตามที่กฎหมายกำหนด แม้นายกฯเศรษฐา งดออกเสียง แต่ถือว่ามีความผิด เพราะเป็นคนเสนอชื่อ “พล.ต.อ.ต่อศักดิ์” ให้ที่ประชุมเลือก
งานนี้คนคุ้นเคยกัน “พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ และ ทนายอนันต์ชัย” ซึ่งเคยมีสัมพันธ์กันระหว่างลูกความกับทนาย ได้มาร่วมมือกันเคลื่อนไหวกันอีกครั้ง โดยพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยืนยันว่าการออกมายื่นฟ้องต่อป.ป.ช. เป็นการทำเพื่อองค์กรตำรวจ ไม่ได้ทำเพื่อใคร เพราะ “พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์” รอง ผบ. ตร. ที่อาวุโสอันดับ 1 ก็เงียบไม่ต่อสู้เพื่อตัวเอง ไม่รู้จะเป็นทำไมรอง ผบ.ตร. ไม่มีความกล้าหาญเลย ถ้าตนเองเป็น รอง ผบ. ตร. เบอร์ 1 ฟ้องไปแล้ว และถ้าเป็นนายกฯ ก็จะตั้ง “พล.ต.อ.รอย” ให้เป็น ผบ.ตร. เพราะ ถ้าทำแบบนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเงียบสงบ ไม่มีปัญหา แต่ที่ผ่านมามีการเมืองมาแทรก นายกฯก็เข้ามายุ่งทั้งที่ไม่ควร จึงทำให้องค์กรตำรวจเกิดปัญหา
ขณะที่ “อนันต์ชัย” ระบุว่า หลังจากนี้แล้วจะไปดำเนินการในเรื่องของการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยฟ้องจะข้อหา ม.112 กับผู้แต่งตั้ง เนื่องจากมีการเสนอแต่งตั้ง ผบ.ตร. อย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
สรุปว่า ความเคลื่อนไหวของ “ทนายกระดูกเหล็ก” กับ “วีรบุรุษนาแก” นี่แหละคือ ดับเบิ้ลซูเปอร์ บิ๊กเซอร์ไพรส์ ในความหมายของ “อนันต์ชัย” ที่ชาวเน็ตเริ่มมั่นใจกำลังมองหาทางลงอยู่หรือไม่ ? หรือ ไม่รู้จะหาทางลงอย่างไร ?
ขณะที่ ยุทธการที่ว่าจะแฉหลักฐานเด็ดจาก “บิ๊กโจ๊ก” ตามที่เคยโฆษณายั่วให้อยากติดตาม ในอารมณ์ “เปิดเมื่อไหร่ตำรวจได้ตายกันทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ” หรือ ยุทธการเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว แต่ดูไปดูมาออกแนว “เด็ดดอกไม้ปักแจกัน” เสียมากกว่านะจ๊ะ
**ไม้ล้างป่าช้า“อัลฟ่า 6 - GT200” ยังตามมาหลอน ล่าสุดผู้ว่าฯตรัง โดนให้ออกจากราชการ
มหากาพย์เครื่องตรวจระเบิด GT200 ที่ผลิตและจำหน่ายในอังกฤษ และขายดิบขายดีในประเทศที่กำลังพัฒนา ต่อมาได้มีบริษัทอังกฤษอีก 2 แห่ง ขายเครื่องมือที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน ทั้ง ADE-651 และ อัลฟ่า 6
ประเทศไทยเริ่มนำ GT200 เข้ามาใช้กับหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดของกองทัพอากาศ โดย EOD หรือหน่วยทำลายล้างวัตถุระเบิด ของกองทัพบกเห็นว่ามีประสิทธิภาพดี จึงขอยืมมาทดสอบแล้วบอกว่า ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ เพราะไม่ใช่แค่ตรวจระเบิดเท่านั้น ยังตรวจหายาเสพติดได้ด้วย จึงมีการสั่งซื้อกันตั้งแต่นั้นมา
ในยุค “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. อนุมัติงบในการจัดซื้อเมื่อปี 2548 จำนวน 4 เครื่อง ในราคาเครื่องละ 1.4 ล้านบาท จากตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย เพื่อเอาไปใช้ในพื้นที่ภาคใต้ ที่มีสถานการณ์ความไม่สงบ และจากนั้นหลายๆ หน่วยงาน ก็ได้มีการจัดซื้อกันตามมาเป็นพรวน
แต่ต่อมาเกิดเหตุระบิด และสงสัยว่า GT200 อาจใช้งานไม่ได้ผล จึงมีการเรียกร้องให้ตรวจสอบประสิทธิภาพ และการทำงานของเครื่องตรวจระเบิดนี้
แล้วผลพิสูจน์ก็ออกมาว่าเจ้า GT200 ไร้ประสิทธิภาพอย่างสิ้นเชิงในการตรวจหาระเบิด จึงมีคำเปรียบเปรยว่าเป็นได้แค่ “ไม้ล้างป่าช้า”
แต่กว่าจะรู้ ประเทศไทยก็สั่งซื้อไปแล้วเป็นพันเครื่อง มีตัวเลขว่า ช่วงปี 2548-2553 หน่วยงานต่างๆ ในประเทศไทยจัดซื้อเครื่อง GT200 และ Alpha 6 มาใช้ทั้งสิ้น 1,354 เครื่อง รวมเป็นเงิน 1,135 ล้านบาท
โดยเฉพาะปี 2551-2552 ยุคที่ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นผบ.ทบ. มีการสั่งซื้อเครื่อง GT200 รวม 541 เครื่อง
ต่อมา ในปี 2556 ศาลอังกฤษ มีคำพิพากษาตัดสินจำคุกผู้บริหารบริษัทที่ผลิต GT200 ในความผิดฐานฉ้อโกง เพราะเครื่องมือไม่มีประสิทธิภาพตามที่โฆษณา !!
ส่วนในประเทศไทย “ ธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดี DSI ในขณะนั้น ได้ทำการตรวจสอบพบว่า หน่วยรัฐจัดซื้อในราคาที่แตกต่างกันมาก ตั้งแต่ 500,000-1,600,000 บาท
DSI ยังพบว่า มีหน่วยงานรัฐที่จัดซื้อเครื่อง GT200 และ Alpha 6 จำนวน 19 หน่วยงาน สูญเงินมากกว่า 1,135 ล้านบาท นำมาสู่การฟ้องร้องบริษัทผู้ผลิตที่ อังกฤษ 1 แห่ง บริษัทตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย 2 แห่ง บริษัทตัวแทนจำหน่ายช่วงต่อในไทยอีก 4 แห่ง รวมเป็น 7 แห่ง ทั้งคดีอาญาและคดีแพ่ง โดยเรียกค่าเสียหาย 683 ล้านบาท
ต่อมาในปี 2555 มีการยื่นคำร้องให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบกระบวนการและผู้เกี่ยวข้องในการจัดซื้อ กระทั่งผ่านไปกว่า 9 ปี เพิ่งมีการชี้มูลความผิดทั้งทางอาญาและวินัย ผู้เกี่ยวข้องในการจัดซื้อ เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 64 ส่วนใหญ่เป็นคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างฯ และคณะกรรมการตรวจรับงาน จากหน่วยงาน 20 แห่ง รวมเกือบ 100 คน
และหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ “พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์” ส.ว. ในฐานะอดีต ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ที่จัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดและสารเสพติด GT200 และ Alpha 6 จำนวน 4 สัญญา โดย ป.ป.ช.มีมติเป็นเอกฉันท์ สั่งฟ้องไปเมื่อวันที่ 8 มี.ค.66 โดยป.ป.ช.เป็นผู้ยื่นฟ้องเอง หลังจากที่ ป.ป.ช.ชี้มูลไปแล้ว อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง
ล่าสุด “สุทธิพงษ์ จุลเจริญ” ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ลงนามในคำสั่งให้ “ขจรศักดิ์ เจริญโสภา” ผู้ว่าฯตรัง ออกจากราชการ ก่อนเกษียณเพียง 1 ปี เนื่องจากสมัยรับราชการอยู่ จ.ยะลา เป็นกรรมการจัดซื้อจัดจ้าง โดยซื้อเครื่องอัลฟ่า 6 จำนวน 2 ชุด ซึ่ง “ขจรศักดิ์” ในขณะนั้น เป็นหัวหน้าฝ่าย และกรรมการตรวจรับ แล้วต้อมาถูก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดทางอาญา และ วินัยร้ายแรง
เรื่องนี้ “ผู้ว่าฯขจรศักดิ์” บอกว่าในช่วงทำงานอยู่ที่ จ.ยะลา ในตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มงานยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัด สำนักงานจังหวัดยะลา เมื่อปี 51 ผู้ว่าฯ ยะลา ได้แต่งตั้งให้ตนเอง เป็นประธานกรรมการจัดซื้อเครื่องตรวจหาวัตถุระเบิด อัลฟา 6 จำนวน 2 ชุด ตามที่ประชุมคณะกรรมการความมั่นคง จ.ยะลา เสนอ เพื่อมอบให้หน่วยงานความมั่นคง จ.ยะลา ไปใช้ในการปฏิบัติงาน เนื่องจากเกิดสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ จ.ยะลา มีการวางระเบิด ทำร้ายเจ้าหน้าที่ของรัฐ พระภิกษุสงฆ์ และประชาชนอยู่บ่อยครั้ง รวมทั้งศาลากลางจังหวัดยะลาก็ถูกวางระเบิดถึง 2 ครั้ง
ต่อมาเมื่อผลการตรวจพิสูจน์ว่าเครื่องมือนี้ใช้งานไม่ได้ ก็มีการตั้งคณะอนุกรรมการมาไต่สวน รวมทั้งทางจ.ยะลา
ได้แจ้งความดำเนินคดีบริษัทผู้ขายเครื่องมือตรวจหาวัตถุระเบิด และศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่า บริษัทผู้ขายเครื่องมือตรวจหาวัตถุระเบิด ได้ฉ้อโกง จ.ยะลา ตามฟ้อง ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จแก่ผู้ซื้อคือ จ.ยะลา และได้ปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแสดงให้คู่สัญญาทราบ และให้คืนเงินแก่ จ.ยะลา
กระทั่ง ปี 2564 ซึ่งระยะเวลาการไต่สวนได้ผ่านมาแล้ว 10 ปี คณะกรรมการไต่สวนมีความเห็นว่า หัวหน้าส่วนราชการและข้าราชการหลายหน่วยงานที่จัดซื้อเครื่องตรวจหาวัตถุระเบิดดังกล่าวกระทำความผิดทางอาญา และวินัย ในการจัดซื้อเครื่องตรวจหาวัตถุระเบิด โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีมติชี้ มูลความผิดทางอาญาและวินัยร้ายแรง โดยให้ลงโทษปลดออก หรือไล่ออก ซึ่งข้าราชการ ที่ถูกกล่าวหา และลงโทษครั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการระดับล่าง และระดับกลาง
มีคำถามว่า ทำไมระดับผู้บังคับบัญชา โดยเฉพาะทหาร ไม่เห็นมีคนไหนถูกลงโทษ เรื่องนี้ “คุณหญิงหมอพรทิพย์” เคยให้คำตอบว่า ...
“หมอโดนคนเดียว ผู้บริหารที่เหลือซึ่งเป็นทหารไม่โดน ก็ต้องมีอะไรบางอย่าง เพราะอยู่ในช่วงของรัฐบาลปฏิวัติ รัฐบาลแบบไหนก็ตาม สุดท้ายต้องเอาการเมืองเข้ามาแทรกเสมอ”