“ธีระชัย” เตือน “เศรษฐา” พายุวิกฤตเศรษฐกิจโลก กำลังตั้งเค้า หลังรัฐบาลสหรัฐฯ ก่อหนี้เพิ่มเป็น 33.4 ล้านล้านดอลลาร์ ต้องขึ้นดอกเบี้ยพันธบัตร ตลาดเงินทั่วโลกตึงเครียด ต้องขึ้นดอกเบี้ยตาม กระทบการบริโภค ชี้ กู้ 5.6 แสนล้าน มาแจกดิจิทัลคนละ 1 หมื่น ยังไงก็ขาดทุน คาด เก็บภาษีได้ 1 แสนล้าน แค่ตัวเลขโคมลอย แนะบริหารประเทศเหมือนบริษัท หากมีรายไม่พอแล้วกดบัตรเครดิตเอาเงินมาแจกพนักงานไม่นานก็เจ๊ง
วันที่ 4 ต.ค. นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Thirachai Phuvanatnaranubala - - ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ในหัวข้อ “รมว.คลังไทยตามตัวอย่าง รมว.สหรัฐ?” มีรายละเอียดระบุว่า
ถามว่า ดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐ ที่กำลังพุ่งสูงขึ้น จะส่งผลอย่างไร? และเกิดจากเหตุใด?
ตอบว่า จะทำให้ยอดจ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้น จะแซงงบประมาณกองทัพ จะทำให้การลงทุนเอกชนชะลอตัว จะทำให้ราคาหุ้นกลุ่มไฮเทคตก
เกิดจากรัฐบาลสหรัฐกู้หนี้สาธารณะเกินตัว เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ยอดหนี้เพิ่งทะลุ 33 ล้านล้านดอลลาร์ แต่ขณะนี้ ขึ้นเป็น 33.4 ล้านล้านไปแล้ว ในห้วงเวลา 1 เดือน น่าจะเพิ่มขึ้นถึง 1 ล้านล้าน
ถึงแม้ในสัดส่วนของจีดีพี สหรัฐเป็นอันดับสี่ 120% (เทียบกับญี่ปุ่น 239% กรีซ 197% สิงคโปร์ 165% อิตาลี 134%)
แต่หนี้ของสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 37% ของหนี้รัฐบาลในโลก (รูป 1) ยอดหนี้เท่ากับของห้าประเทศอันดับ 2 ถึง 6 รวมกัน
ถามว่า การที่รัฐบาลสหรัฐกู้หนี้สาธารณะมาเพื่อใช้จ่ายนั้น มีผลดีผลเสียอย่างไร?
ตอบว่า มีผลดีคือ เพิ่มจีดีพี เพิ่มรายได้ประชาชน แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ (ถ้าไม่แจกแบบเหวี่ยงแห)
มีผลเสียคือ รัฐจะเบียดทำให้เงินที่เอกชนใช้ลงทุนเหลือน้อยลง จะเกิดเงินเฟ้อ ดอกเบี้ยพันธบัตรจะสูงขึ้น ดอกเบี้ยสูงจะทำให้ดอลลาร์แข็งขึ้น
เมื่อยอดหนี้สูงขึ้น ประกอบกับดอกเบี้ยสูงขึ้น งบประมาณจะขาดดุลมากขึ้น จะเสี่ยงถูกลดอันดับเครดิตของประเทศ
ถามว่า รัฐบาลไทยยังกู้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นได้หรือไม่?
ตอบว่า ยังกู้เพิ่มได้ เพราะสัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีของไทยยังไม่ถึง 70% แต่ต้องใช้ในโครงการลงทุนที่เพิ่มรายได้รัฐบาลในอนาคต
ถามว่า รัฐบาลกู้หนี้สาธารณะมาแจกคนละ 10,000 บาท มีผลเสียอย่างไร?
ท่านนายกฯ เศรษฐา ย่อมเข้าใจดี กรณีบริษัทมีรายได้น้อยกว่ารายจ่าย แต่ใจดี ไปกู้เงินรูดการ์ด เพื่อเอามาแจกพนักงาน ไม่นานก็จะเจ๊ง
โครงการกู้เงินมาแจก 560,000 ล้านบาท อ้างว่า รัฐจะมีรายได้เพิ่ม 100,000 ล้านบาท ขาดทุน 460,000 ล้านบาทอยู่แล้ว จะเอาเงินที่ไหนมาชำระหนี้
แม้แต่รายได้ ที่อ้างว่าจะเพิ่ม 100,000 ล้านบาท นั้น ก็เป็นตัวเลขโคมลอยที่คำนวณโดยนักเศรษฐศาสตร์ที่อิงพรรคการเมือง
ในโลกแห่งความเป็นจริง รายได้จะเพิ่มขึ้นต่ำกว่า 100,000 ล้านบาทมาก
ถามว่า ถ้าแจกเงิน 560,000 ล้านบาท เป็นเงินดิจิทัล จะช่วยให้มีเงินมาชำระหนี้มากขึ้นหรือไม่?
ตอบว่า การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ไม่จำเป็นต้องแจกเงินดิจิทัล การเอาสองเรื่องมาปะปนกัน ทำให้ประชาชนฟังแล้วเคลิ้ม แต่ไม่เป็นผลดีต่อประเทศ
ถามว่า ถ้ารัฐบาลจะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ จะทำอย่างไร?
ตอบว่า ควรแจกเงินเฉพาะแก่คนที่เดือดร้อนและยากจนเท่านั้น ไม่ใช่แจกแบบเหวี่ยงแห
ถามว่า ทำไมรัฐบาลส่วนใหญ่ มักจะไม่คิดโครงการลงทุน ที่ทำให้ประเทศมีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น?
ตอบว่า เพราะโครงการเหล่านี้ ต้องออกแบบให้ดี ต้องรับฟังความต้องการของระดับชุมชน ต้องผลักดันเงินลงไประดับรากหญ้า ซึ่งต้องใช้เวลาดำเนินการหลายปี
รัฐบาลส่วนใหญ่ ที่ต้องการผลต่อจีดีพีทันที แบบเปิดปุ๊บติดปั๊บ จึงเน้นกู้หนี้สาธารณะมาเพื่อกระตุ้นอุปโภคบริโภค
ถามว่า ปัญหานโยบายการคลังของสหรัฐ จะนำไปสู่วิกฤตหรือไม่?
ตอบว่า สภาวะตลาดเงินทั่วโลกกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่จุดตึงเครียด จากปัจจัยเหล่านี้
รูป 2 ธนาคารชาติญี่ปุ่นส่งสัญญาณว่า ในอนาคต จะปรับดอกเบี้ยเงินเยน 1-6 เดือน ที่ขณะนี้ยังติดลบ 0.15-0.30% ต่อปี ให้เป็นบวก
เพื่อแก้ปัญหาเงินเยนอ่อน และเงินเฟ้อสูง
สำหรับดอกเบี้ยเงินเยน 10 ปี ที่ขณะนี้สูงขึ้นถึงระดับ 0.76% ต่อปีแล้วนั้น มีแนวโน้มจะปล่อยให้ขึ้นไปแตะระดับ 1%
ดอกเบี้ยเงินเยนที่สูงขึ้น จะแก้ปัญหาเงินเยนอ่อน และจะดึงเงินทุนกลับญี่ปุ่น
แต่จะทำให้ดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐยิ่งสูงขึ้น
รูป 3 ดอกเบี้ยดอลล่าร์ 10 ปี ซึ่งล่าสุดขึ้นไปถึงระดับ 4.8% แล้ว ทำให้มูลค่าพันธบัตรที่เป็นหลักประกันในตลาดเงิน Repo ลดลง
ธนาคารที่ให้กู้เงินอินเตอร์แบงก์ ก็จะเรียกให้ลูกหนี้วางหลักประกันเพิ่ม ตลาดเงินจะยิ่งตึงตัวอยู่แล้ว
เมื่อเจอแรงดันจากดอกเบี้ยเงินเยน ดอกเบี้ยดอลล่าร์ก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก
Jamie Dimon ซึ่งเป็นประธานผู้บริหารของธนาคารใหญ่อันดับหนึ่งของสหรัฐ เตือนให้นักลงทุนระวังว่า ดอกเบี้ยดอลล่าร์ 10 ปี อาจจะขึ้นไปสูงถึงระดับ 7%
ยิ่งดอกเบี้ยสูงขึ้น ก็จะยิ่งกระทบตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มไฮเท็ค และจะลุกลามไปกระทบการซื้อบ้าน และการอุปโภคบริโภคในที่สุด
ผมขอแนะนำให้ท่านนายกเศรษฐา พิจารณาหลักเดียวกับการบริหารบริษัท
รายได้มีแนวโน้มจะน้อยกว่ารายจ่ายไปอีกหลายปี สภาวะตลาดเงินกำลังจะตึงตัว ดอกเบี้ยทั่วโลกกำลังสูงขึ้น กำลังซื้อทั่วโลกกำลังจะลดลง
พายุเศรษฐกิจสมบูรณ์แบบกำลังตั้งเค้า เมฆกำลังเคลื่อนตัวเข้าตลาดทุนตะวันตก
ท่านควรจะบริหาร corporate Thailand อย่างไร?