ข่าวปนคน คนปนข่าว
**บิ๊กเซอร์ไพร้ส์ มีอยู่จริงหรือ? "บิ๊กโจ๊ก" ไม่รู้เรื่อง! "อนันต์ชัย" กลับว่า "เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว" วัดใจ "บิ๊กต่อ" สางขยะ!
หลายคนระทึกใจ ไม่รู้ว่าวันพฤหัสบดีที่ 5 ตุลาคม 2566 อันเป็นวันดีเดย์ที่ ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช “ทนายกระดูกเหล็ก” นัดหมายจะเปิดข้อมูลเด็ดหรือ “บิ๊กเซอร์ไพรส์” จะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ??
และจะนำสู่ความฉิบหายวายป่วง ของพวกพ้องน้องพี่ ผู้มีอำนาจทั้งหลายในรั้วปทุมวัน ตั้งแต่ล่างยันยอดสุดแค่ไหน ซึ่งทนายดังตีฝีปากว่า งานนี้หลักฐานเด็ดมีพร้อม เรียกว่า “เด็ดดอกไม้ดอกเดียว สะเทือนถึงดวงดาว”
ในระหว่างที่รอ-ลุ้นกันอยู่ มีสัญญาณหลายอย่างเกิดขึ้น มีทั้งบวกและลบคละเคล้ากันไป จนบรรดาผู้สันทัดกรณีไม่แน่ใจว่าสถานการณ์จะดีขึ้นหรือเลวลง หรือจนถึงขั้นเลวร้ายที่สุด ตามคำขู่ของ "บิ๊กโจ๊ก" พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.คนดัง "เปิดมาได้ตายกันหมดทั้งสตช."แน่
สัญญาณบวกที่พอมองเห็นก็คือ “พี่ต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. คนใหม่ถอดด้าม ยังไม่หักหาญน้ำใจ “น้องโจ๊ก”จนเกินไป ก็คือการแบ่งหน้าที่ให้เป็น รอง ผบ.ตร. ดูแลงานด้านความมั่นคง หมายถึงรับผิดชอบเรื่องม็อบต่างๆ รวมไปถึงการประสานงานกับกองทัพฯ เกี่ยวกับปัญหาตามชายแดน กับ 3 จังหวัดชายแดนใต้ อีกทั้งอารักขาความปลอดภัยบุคคลสำคัญ
แน่นอนว่า หน้างานความมั่นคงต่างกับงานปราบปรามด้านสืบสวนสอบสวน ที่ “บิ๊กโจ๊ก”เคยทำ เพราะงานปราบปรามอาชญากรรม จำเป็นต้องโปรโมต โชว์ออฟให้สังคมทราบการเคลื่อนไหว แต่งานความมั่นคง ยิ่งกว่าปิดทองหลังพระเพราะแบกรับความรับผิดชอบสูง มุมหนึ่งอาจมองว่าเป็นหน้าที่รอรับแข้งอย่างแท้จริง เพราะห้ามผิดพลาดเด็ดขาด
ต้องไม่ลืมว่า “ความมั่นคง”ที่ “บิ๊กต่อ” เคยรับผิดชอบทำหน้าที่นี้ คือเหตุผลหลักในการก้าวเข้าสู่ตำแหน่งผบ.ตร. คนที่14 มองมุมดีๆ ก็มีอยู่นะ... แต่ขออนุญาตกระซิบย้ำว่า ห้ามพลาด(เด็ดขาด)!!??
ภาพรวมของการแบ่งงานโดยให้ “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” ดูแลฝ่ายความมั่นคง ต้องถือว่าเป็นสัญญาณบวกแม้จะเพิ่มความระวังในการทำงานอยู่บ้าง แต่ยังถือว่ามีอำนาจบังคับบัญชา
ส่วนคนใหม่ที่เข้ามาแทนเป็นไปตามความคาดหมายทุกอย่าง เช่น งานปราบปรามอาชญากรรม มอบหมายให้ “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร เข้ามาทำหน้าที่ งานปราบปรามด้านสืบสวน ซึ่งเดิมเป็นงาน “บิ๊กโจ๊ก”มอบหมายให้พล.ต.ท.ธนา ชูวงศ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ว่าที่ รอง ผบ.ตร. รับผิดชอบ
เมื่อ ผบ.ตร.แบ่งหน้าที่กันเรียบร้อย ต่อไปก็คือดูผลงานของแต่ละคนว่าจะออกมาอย่างไร โดยเฉพาะช่วงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยู่ในสภาพยิ่งกว่าเขื่อนแตก สะพานถล่มเพราะภัยน้ำท่วม แต่กำลังใกล้ล่มสลายเพราะความแตกแยกอันมีสาเหตุมาจากความโลภ ความไม่รู้จักพอ และการไร้ระเบียบวินัย รุ่นน้องไม่เคารพรุ่นพี่ ผู้ใต้บังคับบัญชาถ่มถุยผู้บังคับบัญชา และสำคัญที่สุดคือ ผู้บังคับบัญชาเลวๆ บางคนยังคงทำตนเป็นภาระ กอบโกย ถือคติตำรวจโบราณยังคงให้ลูกน้องรีดนาทาเร้นเลี้ยงดูเจ้านาย เพื่อแลกกับความก้าวหน้า
ภาวะใกล้ล่ม หรือล่มไปแล้ว ย่อมยากที่จะฟื้นกู้กลับคืน แต่อย่างไรเสียก็เป็นหน้าที่ของ ผบ.ตร.คนใหม่ ซึ่งจะปฏิเสธไม่ได้
ดังนั้นชะตากรรม หรือชะรอยบุญ คงต้องดูเหตุการณ์ในอีก 2-3 วันข้างหน้า หากมี บิ๊กเซอร์ไพรส์ "ทิ้งบอมบ์" จริง ก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น
ข่าวแว่วๆว่า แต่ละฝ่ายต่างมีหลักฐานเด็ด โดยเฉพาะเส้นทางการเงินไล่กันครบจบทุกตัวละคร ที่กำลังมีเรื่องฟาดฟันกัน และอาจรุนแรงไปถึง บิ๊กตำรวจ อดีตบิ๊กตำรวจ บรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องในแวดวงยุติธรรมทั้งหมด
เส้นทางการเงินที่ว่า ล้วนเกี่ยวข้องกับขบวนการส่วย มีส่วยน้ำมันเถื่อน ส่วยของหนีภาษี ส่วยจีนเทา ส่วยซื้อขายตำแหน่ง ส่วยบ่อนพนัน
แต่ที่หนักสุดก้อนใหญ่สุดคือ "ส่วยพนันออนไลน์" มีตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นกองบัญชาการหลัก หรือชุดเฉพาะกิจ
ระดับล่างมีตั้งแต่หลักแสน หลักล้าน ส่วนบรรดาบิ๊กๆ กระจายไปหลายบัญชีก่อนมุ่งสู่บัญชีเดียว สูงถึงร้อยล้าน
3-5ปี ยุคทองของเว็บพนันออนไลน์ผู้ใหญ่คนไหนงาบอะไร จากที่ไหน เส้นทางการเงินมันฟ้องหมด!!??
ปฏิบัติการเด็ดดอกไม้ดอกเดียวสะเทือนถึงดวงดาว หากประมาณการไม่ผิด มันไม่ต่างอะไรกับระเบิดปรมาณู ทิ้งบอมบ์ วงการยุติธรรมอันมีตำรวจเป็นจำเลยมากสุด
อย่างไรก็ตาม ช่วงระหว่างประชาชนใจจดใจจ่อ อยากรู้แต่ใครหลายคนเสียววูบๆ วาบๆ เพราะไม่แน่ใจว่าจะโดนสะเก็ดยุทธการเด็ดดอกไม้ หรือเปล่า?
เมื่อถอดรหัสคำพูด “ทนายอนันต์ชัย” มีหลายอย่างที่จับประเด็นได้ว่า มีความพยายามต่อรอง ทั้งปลอบทั้งขู่ ไม่ให้มีการแฉหรือแม้แต่ “บิ๊กโจ๊ก”ลูกความ ก็ยังโทรฯหา ปรึกษาจะหยุดหรือไม่หยุด
แม้ทนายกระดูกเหล็ก จะไม่เห็นด้วย แถมยังสร้างประเด็นใหม่ทั้งโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ทำนองว่าอยากปล่อยเกาทัณฑ์ ใจจะขาด หรือประโยคส่งท้ายที่ระบุว่า ในสนามรบแม่ทัพ ใหญ่กว่าฮ่องเต้
ประเด็นนี้ แม้เจ้าตัวจะออกตัวสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองว่าลูกความก็เหมือนลูก ใครมาแกล้งมารังแก ก็เหมือนรังแกลูก ทำไปทำมาอดคิดไม่ได้ว่า ทนายคนดังกลายเป็นคู่ขัดแย้งซะเอง หรือเปล่า
ตบท้ายอันเป็นบทสรุปแม้ผู้คร่ำหวอดในแวดวงสีกากีหลายๆคน ไม่อาจฟันธงจุดจบของเรื่องนี้ได้
แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ ในภาวะ 50/50 ออกหัวก้อยได้เท่าๆกัน ขอวิเคราะห์ว่า จะไม่มีอะไรในกอไผ่ คำขู่ของ ทนายกระดูกเหล็ก จะเป็นระเบิดด้านทันที หาก “บิ๊กโจ๊ก”เปลี่ยนตัว ไม่ใช้บริการของ ทนายอนันต์ชัย!
ส่วนจะถูกวิจารณ์เป็นมวยล้มต้มคนดู เป็นนู่น นี่ นั่น มีอะไรภายใต้ดวงอาทิตย์ที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ล่ะ
คดี 8 ตำรวจรับส่วยพัวพันเว็บพนัน "มินนี่" ก็ว่าไป “คดีกำนันนก” ใครทำกรรมอะไร แค่ไหน อย่างไร ก็ว่าไป
เรียกได้ว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติเวลานี้เต็มไปด้วยขยะใต้พรม วัดใจให้ “บิ๊กต่อ” สะสาง
ค่ำคืนที่เจอกันระหว่าง “บิ๊กต่อ” กับ “บิ๊กโจ๊ก”นั้น ผบ.ตร. ได้เฉลยว่า ได้พูดกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แบบแมนๆ ว่า ในชีวิตผม ผมเคยบอกโจ๊กไว้เสมอว่า "ถ้าขาดจากพี่ไปแล้ว เอ็งหาคนที่จริงใจกับเอ็งแบบพี่ไม่ได้" ผมเป็นคนจริงใจ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม กระสุนไม่เคยยิง หรือแทงใครข้างหลัง ถ้าเอาก็เอากันซึ่งหน้า ทุกอย่างมันต้องแก้ที่ต้นเหตุ ตัวเองโดนมาเยอะ แต่นิ่ง และอุเบกขา
ที่จริงแล้ว พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ก็ควรที่ต้องสงบปากสงบคำ ก้มหน้าทำงานจะดีกว่า ไม่จำเป็นต้องพูดมาก เพราะคำพูดเมื่อพูดไปแล้ว จะกลับมาเป็นนายผูกมัดตัวเอง
บทบาทหน้าที่ของผบ.ตร. ก็ต้องบอกว่า สิ่งสำคัญประการแรกต้องกู้วิกฤตศรัทธาขององค์กรให้กลับมา เปรียบเหมือนกับกวาดขยะใต้พรมให้สะอาด ให้โอกาสคนที่ทำงานใช้คนที่เหมาะสม ทำทุกอย่างด้วยความยุติธรรม
สรุปว่า แม้จะเป็นเสือ นักสู้ขนาดไหน แต่ส่วนลึกเชื่อว่าสถานการณ์บีบคั้นแบบนี้ ต้องคิดให้ดี ต้องคิดให้รอบคอบ มองให้รอบด้าน
ทั้งบิ๊กต่อ- บิ๊กโจ๊ก!!??
ถึงไพ่ในมือ “บิ๊กโจ๊ก” ดีขนาดไหน คำถามคือว่า ท่านจะกล้าเกจนหมดหน้าตักหรือไม่ ? และพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ จะอุเบกขา เน้นเค้นฝีมือเร่งทำงานเก็บกวาดขยะแบบไม่ไว้หน้าใครดีกว่า หรือไม่ ? เพราะมีเวลาแค่ปีเดียว
งานนี้ จบอย่างไร ก็ขอโปรดติดตามด้วยความระทึกกันต่อไป
**“เจ๊แหม่ม” นฤมล ลาออก สัญญาณชัด “บิ๊กป้อม” ถูกยึดพรรคไปเรียบร้อย
หลังพรรคพลังประชารัฐ ได้เข้าร่วมรัฐบาลแต่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ไม่รับตำแหน่ง
รัฐมนตรี โดยส่งน้องชาย “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ มารับตำแหน่ง รองนายกฯ ควบ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แทน
ขณะที่ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” เลขาธิการพรรค นั่งตำแหน่ง รมว.เกษตรและสหกรณ์ ตามมาด้วยเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า “ร.อ.ธรรมนัส” พร้อมส.ส.ในสังกัด ได้ยึดพรรคพลังประชารัฐ เป็นที่เรียบร้อย เพราะ “บิ๊กป๊อด” นั้น แม้จะเป็นน้องชาย “บิ๊กป้อม” แต่ก็มาแต่ตัว ไม่มีส.ส.ประดับบารมีเลย
ยิ่งการที่ “ร.อ.ธรรมนัส” ยอมให้ “เสี่ยอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ จากพรรคเพื่อไทย กำกับดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แทนที่จะเป็น “บิ๊กป๊อด” รองนายกฯ ที่อยู่พรรคพปชร.คุมเอง ยิ่งเป็นการบ่งบอกว่า พรรคพลังประชารัฐในวันนี้ ไม่ต่างจากสาขาหนึ่งของพรรคเพื่อไทยไปแล้ว
ล่าสุด “เจ๊แหม่ม” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ ยื่นใบลาออกจากตำแหน่ง และการเป็นสมาชิกพรรคพปชร. ต่อกกต.ไปเรียบร้อย มีผลตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2566 ที่ผ่านมา ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่าหมดยุค“บิ๊กป้อม”แล้ว
หากย้อนกลับไปดูก่อนหน้านี้ ในช่วงยุคต้นของรัฐบาล “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้น “ร.อ.ธรรมนัส” นั่งเก้าอี้ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ส่วน“นฤมล” เป็น รมช.แรงงาน และทั้งคู่เปรียบเสมือน มือขวา มือซ้ายของ “บิ๊กป้อม” บรรดาส.ส.ในพรรคคนใดที่จะเข้าพบ “บิ๊กป้อม” ต้องผ่านด่าน ได้ไฟเขียวจาก“เจ๊แหม่ม”ก่อน ขนาดระดับแกนนำพรรคบางคนถึงกับออกปากว่า “บิ๊กป้อม” เป็นคนที่เข้าพบยาก!!
แต่หลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ“บิ๊กตู่” ที่มีกระแสว่าเกิดการเตรียมหักหลังจากคนกันเอง...เมื่อบิ๊กตู่ตั้งหลักได้ ทั้ง “ร.อ.ธรรมนัส” และ “นฤมล” ก็ตกเก้าอี้รัฐมนตรีทั้งคู่
จากนั้น “ร.อ.ธรรมนัส” กับส.ส.กลุ่มหนึ่งก็ถูกขับออกไปอยู่พรรคใหม่ ส่วน“นฤมล” ยังอยู่กับ “บิ๊กป้อม” เป็นเหรัญญิกพรรคเหมือนเดิม
ต่อมาช่วงก่อนการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ที่ “บิ๊กตู่” ประกาศแยกตัวจากพรรคพลังประชารัฐ ไปเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ให้กับพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) จึงเป็นโอกาสที่ “ร.อ.ธรรมนัส” ได้หวนกลับมาอยู่ข้างกาย “บิ๊กป้อม” อีกครั้ง แถมครั้งนี้ได้รับตำแหน่ง เลขาธิการพรรค นำทัพสู้ศึกเลือกตั้งอีกต่างหาก
และในการจัดลำดับปาร์ตี้ลิสต์ ที่มีการแย่งชิงลำดับต้นๆ เพื่อมีโอกาสได้เป็นส.ส. โผที่ออกมาครั้งแรก “เจ๊แหม่ม” ได้รับการจัดให้อยู่ในบัญชีรายชื่อลำดับที่ 6 แต่ต่อมามีการรื้อโผ เนื่องจากมีหลายกลุ่มที่เข้ามาร่วมพรรค แกนนำของแต่ละกลุ่มต่างต่อรองเพื่ออยู่ลำดับต้นๆ และชื่อของ“เจ๊แหม่ม” ตกไปอยู่ลำดับเกือบที่ 20
“เจ๊แหม่ม” จึงออกมาประกาศไม่ขอลงสมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ขณะที่ “ร.อ.ธรรมนัส” เลือกแบบเอาชัวร์ โดยไปลงส.ส.เขต ที่จ.พะเยา
ผลการเลือกตั้งออกมาปรากฏว่า พรรคพลังประชารัฐ ได้ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ เพียงคนเดียว คือ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ซึ่งอยู่ลำดับที่ 1
ในช่วงการเดินเกมจัดตั้งรัฐบาล แม้ลึกๆ ในใจแล้ว “บิ๊กป้อม” ยังคงคาดหวังว่าการโหวตนายกรัฐมนตรี จะมาถึงคิวตัวเอง แต่การเคลื่อไหวของ “ร.อ.ธรรมนัส” และส.ส.ในกลุ่มนั้น ชัดเจนว่าจะโหวตให้แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย ถึงขนาดที่ “ไผ่ ลิกค์” ส.ส.กำแพงเพชร ที่เปรียบเสมือนมือขวาของ“ร.อ.ธรรมนัส” ออกมาให้สัมภาษณ์ เปิดตัวสนับสนุนแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย โดยไม่มีเงื่อนไขว่าจะได้รับเก้าอี้รัฐมนตรีหรือไม่
หลัง “เศรษฐา ทวีสิน” ได้เป็นนายกรัฐมนตรี “บิ๊กป้อม” ก็โลว์โปรไฟล์ เก็บตัวเงียบ และส่ง “บิ๊กป๊อด” น้องชายมากินตำแหน่งรัฐมนตรีแทน ส่วน“ร.อ.ธรรมนัส” ได้คุมกระทรวงเกรดเอ ที่ไม่ว่าพรรคไหนก็ต้องการ อย่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ขณะที่ “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” ไม่ได้รับตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้นในรัฐบาลนี้ มีเพียงตำแหน่งเหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ เหมือนเดิม ที่เพิ่มเติมคือ มีคนในกำลังแงะ กำลังแซะให้ออกจากตำแหน่งอีกต่างหาก
จึงเป็นที่มาของการอำลาพรรคพลังประชารัฐ ของ “เจ๊แหม่ม” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ในวันนี้