xs
xsm
sm
md
lg

เริ่มรับโทษคดี ม.112 เริ่มจุดพลุนิรโทษ!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


อานนท์ นำภา - ชัยธวัช ตุลาธน
เมืองไทย 360 องศา

สังเกตหรือไม่ ว่า ช่วงนี้เริ่มเห็นจำเลยคดีที่เกี่ยวกับความผิดตาม มาตรา 112 ทยอยถูกศาลพิพากษาจำคุก โดยบางคนก็เป็นนักเคลื่อนไหวที่อาจจะยังไม่ค่อยมีชื่อโดดเด่น รวมไปถึงคนที่มีชื่อคุ้นหู ล่าสุด ศาลชั้นต้นได้สั่งจำคุก นายอานนท์ นำภา เป็นคดีแรก เป็นเวลา 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา ขณะเดียวกัน ก็ได้สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวเพื่อเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมแบบ “เหมาเข่ง” โดยให้รวมความผิดที่เกี่ยวกับการละเมิดสถาบันเบื้องสูงไปด้วย

แน่นอนว่า หากมองว่า การเคลื่อนไหวของบรรดาผู้ต้องหา และจำเลยคดีมาตรา 112 ที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ มีความเกี่ยวพันทางใดทางหนึ่งกับพรรคก้าวไกล ที่เชื่อมโยงไปถึงกลุ่มผู้ชุมนุม และแกนนำที่ใช้สัญลักษณ์ “สามนิ้ว” ก็ได้เห็นการเคลื่อนไหวเพื่อเสนอร่างกฎหมายนิรโทษกรรมขึ้นมาในช่วงเวลาเดียวกัน โดยอ้างเหตุผลเพื่อให้เกิดสมานฉันท์ และมอบอนาคตใหม่ให้กับบรรดาผู้ถูกดำเนินคดี ซึ่งมีหลายคนเป็นเยาวชนคนหนุ่มสาว

โดยวันที่ 26 กันยายน ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีดูหมิ่นสถาบัน หมายเลขดำ อ. 2495/2564 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้อง นายอานนท์ นำภา อายุ 39 ปี ทนายความศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เป็นจำเลยในความผิดฐานดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ร่วมกันมั่วสุมชุมนุม ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง พ.ร.ก.การบริหาราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ กรณีเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2563 จำเลยกับพวกได้ร่วมกันจัดกิจกรรมรวมกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมือง ที่บริเวณโดยรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยบางช่วงบางตอนของการปราศรัย จำเลยได้กล่าว แสดงความอาฆาตมาดร้ายดูหมิ่นสถาบันฯ

นายอานนท์ กล่าวก่อนฟังคำพิพากษาว่า ทั้งขบวนคนรุ่นใหม่ได้สร้างปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนประเทศไป จนไม่สามารถย้อนกลับไปเหมือนเดิมได้แล้ว ในแง่ของความคิดคน ตนมองว่า ตอนนี้คนทั้งประเทศเชื่อในสิทธิเสรีภาพ เห็นการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นอารยะเห็นได้จากทุกรูปแบบทั้งในสื่อโซเชียลฯ บนท้องถนน ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาก็ชัดเจนแล้ว คนรุ่นใหม่ก็โตมาโดยเชื่อในสิทธิ เสรีภาพ ความเท่าเทียม ตนคิดว่า การชุมนุมในปี 63 ทำให้สังคมเปลี่ยนไปเยอะมาก เป็นการต่อสู้ที่คุ้มค่า

เมื่อถามว่า หากวันนี้ นายอานนท์ ต้องเข้าคุก จะมีกลุ่มนักกิจกรรมออกมาเคลื่อนไหวหรือไม่ นายอานนท์ กล่าวว่า แน่นอน เพราะการเคลื่อนไหวยังมีเรื่อยๆ มีการผ่อนไปตามสถานการณ์ แต่เราจะไม่หยุด การต่อสู้มีเป้าหมายชัดเจนว่าเราต่อสู้เพื่ออะไร

ล่าสุด ศาลอาญา สั่งจำคุก 4 ปี ไม่รอลงอาญา นายอานนท์ นำภา หมิ่นสถาบัน ปรับ 2 หมื่นบาท โดยพวกเขาได้ยื่นขอประกันตัวเพื่อออกมาสู้คดี และรอคำวินิจฉัยของศาล ว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่

ก่อนหน้านี้ ก็มีหลายคดี ที่ศาลเริ่มพิพากษาในคดีกระทำความผิดเกี่ยวกับ มาตรา 112 โดยส่วนใหญ่จะเป็นคนหนุ่มสาว และไม่ใช่ระดับแกนนำม็อบ หรือนักเคลื่อนไหวที่คุ้นหูคุ้นตากันมากนัก ขณะเดียวกัน ลักษณะการเคลื่อนไหว มักถูกมองว่าได้รับการป้อนข้อมูล ชุดความเชื่อในลักษณะเดียวกัน ตั้งแต่เป็นนักเรียน นักศึกษา มีบรรดาครู อาจารย์คอยให้ท้าย หรือชักใยอยู่เบื้องหลัง เหมือนกับว่าคอยดันหลังเด็กๆ พวกนี้ให้ออกหน้าแทน ให้ทำในสิ่งที่ตัวเอง พูด ในสิ่งที่ตัวเองคิด ตัวเองเคยฝันเอาไว้ เหมือนในสังคมอุดมคติ

การพิพากษาจำคุก นายอานนท์ นำภา ในคดีความผิดตาม มาตรา 112 อาจถือว่าเป็นคดีแรกที่เขาถูกสั่งจำคุกเป็นเวลา 4 ปี แม้ว่าคดียังไม่สิ้นสุด เพราะยังมีสิทธิอุทธรณ์กันต่อไป มีระยะเวลากว่าคดีสิ้นสุดอีกพักใหญ่ แต่ก็เริ่มเห็นแล้วว่า คดีความผิดประเภทนี้ ที่บรรดาแกนนำม็อบสามนิ้วหลายคนเป็นจำเลยเริ่มเดินมาถึงจุดสิ้นสุดบ้างแล้ว แม้แต่กรณีของ นายอานนท์ นั้นยังมีอีกนับสิบคดี ต่างกรรมต่างวาระ กำลังทยอยมาเรื่อยๆ

ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งก็มีความเคลื่อนไหวมีการเสนอออกกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งคราวนี้จะมาแบบ “เหมาเข่ง” กันอีกรอบ และมากไปกว่านั้น ก็คือ จะให้นิรโทษกรรมให้ครอบคลุมความผิดเกี่ยวกับ มาตรา 112 ที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย รวมไปถึงการเสนอแก้ไข มาตรา112 เข้าสู่การพิจารณาในสภาอีกรอบ อ้างว่าเพื่อความปรองดองของคนในชาติ

นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ย้ำว่า การเสนอปรับปรุงแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 จะยังคงเป็นภารกิจของผู้แทนราษฎรก้าวไกล เพื่อหาทางออกจากความขัดแย้งทางการเมือง ด้วยกระบวนการทางประชาธิปไตยและกลไกของระบบรัฐสภา และขอยืนยันว่า การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่พรรคเสนอ จะไม่กระทบต่อพระราชสถานะขององค์พระประมุข แต่จะยังส่งเสริมความสัมพันธ์ที่มั่นคงระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชนในประเทศไทยอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่า การแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 จะใช้เวลานาน และไม่ใช่ภารกิจที่จะสำเร็จโดยง่าย หากไม่ได้รับความร่วมมือจากพรรคการเมืองอื่น และถึงแม้จะแก้ได้สำเร็จ ก็ยังมีประชาชนอีกจำนวนมาก ที่ถูกตัดสินจำคุกไปแล้วจากกฎหมายนี้ รวมถึงกฎหมายอื่นๆ ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือกำจัดและปิดปากผู้เห็นต่างกับอำนาจรัฐ เช่น กฎหมายอาญามาตรา 116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

เพราะฉะนั้น พรรคก้าวไกลจึงเตรียมยื่น ร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมคดีการเมือง เพื่อชำระสะสางคดีความทางการเมืองทั้งหมดในห้วงความขัดแย้งตลอดกว่าทศวรรษที่ผ่านมา โดยมีคณะกรรมการอันประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ ทำหน้าที่พิจารณาหลักเกณฑ์การนิรโทษกรรมอย่างเป็นธรรม

นอกเหนือจากนี้ ก็ยังมีอีกหลายคนที่พยายามนำเสนอร่างกฎหมายหรือ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ออกมา ซึ่งส่วนใหญ่หากสังเกตก็ล้วนอยู่ในเส้นทางเดียวกัน หรือหวังผลทางการเมือง ต้องการมวลชนสนับสนุน หรือที่เรียกว่า “ต้องการให้เด็กรัก” นั่นแหละ

แม้ว่าข้ออ้างที่เป็นหลักการและเหตุผลฟังดูดี เหมือนกับต้องการให้บ้านเมืองเกิดความปรองดอง สามัคคี ให้โอกาสคนที่ต้องคดี หรือเรียกว่าคนที่เห็นต่าง แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนที่ทำผิดมาตรา 112 แทบทั้งหมด ไม่ใช่เห็นต่าง แต่มีเจตนาล้มล้างสถาบันฯ ใช้ถ้อยคำหยาบคาย และการคงอยู่ของกฎหมายแบบนี้ ก็ไม่ได้กระทบกับคนไทย ไม่ใช่อยู่ดีๆ เดินอยู่กลางสี่แยกแล้วถูกดำเนินคดี ถูกจำคุก ก็ไม่ใช่แน่นอน มันต้องมีสาเหตุ มีที่มาที่ไป เหมือนกับกรณีของนายอานนท์ นำภา ที่ได้เห็นพฤติกรรมที่ผ่าน มาย่อมต้องเห็นแย้งแน่นอน

และที่สำคัญที่สุด ก็คือ หากมีการนิรโทษกรรมออกมาจริงๆ ถามว่า พวกเขาจะหยุดพฤติกรรมแบบเดิม หรือไม่ หากไม่หยุดมันก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้น หากพวกเขาต่อสู้หรือเคลื่อนไหวในสิ่งที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ต้องการ เมื่อผลออกมาแบบไหนก็ต้องรับกรรม เหมือนกับตอนที่ นายอานนท์ รับทราบคำพิพากษาจำคุก เขายังบอกว่ามีกำลังใจดี และจะสู้ต่อไป แบบนี้ก็ชัดเจนว่า ไม่จบ !!


กำลังโหลดความคิดเห็น