เมืองไทย 360 องศา
เพิ่งมีการเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่กันไป สำหรับพรรคก้าวไกล ที่มติที่ประชุม 300 ต่อ 5 เสียง ถือว่าเป็นเอกฉันท์สำหรับการรับรองให้ นายชัยธวัช ตุลาธน เป็นหัวหน้าพรรค และคนที่เสนอชื่อ ก็คือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคที่ลาออกไป จนต้องมีการเลือกคนใหม่ดังกล่าว
พิจารณาจากภาพที่เห็นมันก็ดูชื่นมื่น มีสปิริต บรรยากาศสนับสนุนซึ่งกันและกัน เป็นพรรคการเมืองที่ดูมีชีวิตชีวา ดูแล้วเรียบง่าย แต่จริงจังในเป้าหมาย และมีอุดมการณ์
สำหรับกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ดังนี้ 1. นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรค 2. นายอภิชาติ ศิริสุนทร เลขาธิการพรรค 3. น.ส.ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ เหรัญญิกพรรค 4. นายณกรณ์พงศ์ ศุภนิมิตตระกูล นายทะเบียนสมาชิกพรรค 5. นายสมชาย ฝั่งชลจิตร กรรมการบริหาร 6. นายอภิสิทธิ์ พรมฤทธิ์ กรรมการบริหาร 7. น.ส.เบญจา แสงจันทร์ กรรมการบริหาร 8. นายสุเทพ อู่อ้น กรรมการบริหาร (สัดส่วนปีกแรงงาน)
ทั้งนี้ กรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ได้มีมติแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล 3 คน โดยมี นายพิธา เป็นประธาน ส่วนที่ปรึกษาอีก 2 คน คือ นายวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร ทีมเศรษฐกิจพรรคก้าวไกล และ นายเดชรัต สุขกำเนิด ผอ.ศูนย์นโยบายเพื่ออนาคต (Think Forward Center)
นอกจากนี้ กรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ยังได้ตั้ง นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์, นายณัฐวุฒิ บัวประทุม, นายสุพิศาล ภักดีนฤนาถ และน.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล เป็นรองหัวหน้าพรรค และตั้ง นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ, นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ และนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ เป็นรองเลขาธิการพรรค นอกจากนี้ ยังมีมติปรับกองโฆษกพรรค แต่งตั้ง นายพริษฐ์ วัชรสินธุ เป็นโฆษกพรรคคนใหม่ โดยมีรองโฆษก 2 คน ได้แก่ นายกรุณพล เทียนสุวรรณ และ น.ส.ภคมน หนุนอนันต์
นายชัยธวัช กล่าวหลังได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ ว่าในภาพรวม การปรับทัพครั้งนี้เป็นเพียงการปรับทัพชั่วคราว เนื่องจากเหตุจำเป็นทางกฎหมายที่ทำให้นายพิธา แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคก้าวไกล ยังไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ ผู้นำฝ่ายค้าน ในสภาผู้แทนราษฎรได้ โดยตนและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ยินดีที่จะลงจากตำแหน่งเมื่อพิธา สามารถกลับมาปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. ในสภาได้อีกครั้ง
นายพิธา กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับหัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค และโฆษกพรรคคนใหม่ ซึ่งตนยินดีที่จะสนับสนุนการทำงานของแกนนำพรรคชุดใหม่อย่างเต็มที่ ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาชั่วคราว ก็ขอให้ทุกท่านทำงานอย่างเต็มที่ ตนคิดว่าบริบทสถานการณ์บ้านเมืองในตอนนี้มีความสำคัญ ขอให้ทุกคนทำงานอย่างเต็มที่ ตนก็จะสนับสนุนอย่างเต็มที่เช่นกัน โดยที่จะใช้เวลาลงพื้นที่นอกสภาให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ทั่วประเทศไทย และต่างประเทศ หรือการพบปะกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อรอเวลาที่จะกลับมาในสภาปฏิรูปหน้าที่เป็นผู้แทนราษฎรของประชาชนต่อไป และย้ำว่าทั้งหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคล้วนเป็นตัวจริง ไม่ใช่ขัดตาทัพ
แน่นอนว่า ในความเป็นจริงแล้วการเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ในครั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่พรรคก้าวไกลต้องการตำแหน่ง “ผู้นำฝ่ายค้าน” ในสภา หลังจากก่อนหน้านี้ “ทำเมิน” โดยเฉพาะตัว นายพิธา ถึงกับประกาศว่า ต้องการเก้าอี้นายกรัฐมนตรีเท่านั้น ไม่ต้องการนั่งเก้าอี้ผู้นำฝ่ายค้าน จากนั้นพรรคก็มาพลาดท่า ได้แค่รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 โดยคนที่นั่งเก้าอี้นี้ก็คือ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ซึ่งในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ก็มีแต่เรื่องให้ถูกวิจารณ์ตลอดเวลา
มาวันนี้เมื่อเข้าทำนอง “ตื่นจากความฝัน” คืนกลับคืนสู่ความจริง และมองเห็นถึงความสำคัญของตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน ที่นอกจากเป็นตำแหน่งโปรดเกล้าฯ แล้ว ยังมีบทบาทในการมีส่วนร่วมในการเสนอชื่อบุคคลในองค์กรอิสระต่างๆ อีกด้วย มีสถานะความสำคัญเทียบเคียงกับผู้นำฝ่ายบริหารเลยทีเดียว
ขณะเดียวกัน ความจริงอีกเรื่องหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ ในตอนนั้น นายพิธา ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ส.ส.จากคดี “ซุกหุ้นสื่อ” ไม่สามารถมีบทบาทในสภาได้ และที่สำคัญ มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกวินิจฉัยให้พ้นจาก ส.ส.เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าคณะก้าวหน้า และอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กรณีถือหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดียฯ จนต้องพ้นสภาพการเป็น ส.ส.
สิ่งที่ต้องจับตามอง ก็คือ การก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ของนายชัยธวัช ตุลาธน ที่ก่อนหน้านี้เป็นเลขาธิการพรรค และในยุคพรรคอนาคตใหม่ เขาเป็นรองเลขาธิการพรรค โดยในยุคนั้น นายปิยบุตร แสงกนกกุล เป็นเลขาธิการพรรค โดยแบ็กกราวด์ของ นายชัยธวัช ถือว่าเป็นเพื่อนสนิทกับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ มาตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย จนเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย และทำกิจกรรมนักศึกษามาตลอด แม้กระทั่งทำนิตยสาร “ฟ้าเดียวกัน” ที่เชื่อว่านายทุนก็คือ นายธนาธร นั่นแหละ มีเนื้อหาพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์
หากพูดกันแบบเข้าใจง่าย ก็คือ ทั้ง ธนาธร และ ชัยธวัช ถือว่า “เพื่อนซี้” ที่ไว้ใจได้มานานแล้ว และหากบอกว่านายทุนที่ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ คือ นายธนาธร และดึงทั้งนายปิยบุตร และนายชัยธวัช เข้ามาร่วมก่อตั้งพรรคด้วยกัน ขณะที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ในยุคแรกๆ ถือว่าไม่ต่างจาก “คนนอก” เป็นแค่สมาชิกพรรคแบบพื้นๆ ทั่วไป แต่ก็อย่างว่าเมื่อทุกอย่างมันผันแปรผิดคาดหมาย ถูกยุบพรรคอนาคตใหม่ และนายธนาธร ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี พร้อมกับ นายปิยบุตร และพวก
ขณะที่ นายพิธา ในเวลานั้นก็กำลังมีบทบาทเด่น ทั้งในสภา และนอกสภา ที่สำคัญด้วยหน้าตาหล่อเหลาใช้ได้ บวกกับมีพื้นฐานทางการศึกษา พูดภาษาอังกฤษได้คล่องปาก เรียกว่าบุคลิกดี จึงได้รับตำแหน่งหัวหน้าพรรคก้าวไกล และแสดงบทบาทได้ดี เป็นขวัญใจบรรดา “ด้อม” ทั้งหลาย โดยเฉพาะในช่วงการเลือกตั้งที่ผ่านมา เรียกว่าบทบาทของ นายพิธา บดบัง ทั้ง นายธนาธร และนายปิยบุตร จนมิดไปเลย และบังเอิญในว่าในยุคของนายพิธา ได้ถูกนายปิยบุตร วิจารณ์ อย่างรุนแรง เรียกว่าแทบจะไม่เผาผีกันมาแล้ว และล่าสุดก็เจอ “ด้อมส้ม” ถล่มเสียจมดิน จนประกาศเลิกยุ่งไปแล้ว ทำให้เชื่อว่า “ยังคาใจ” กันอยู่แน่นอน
หากเข้าใจว่า พรรคเพื่อไทยที่สังคมรับรู้ว่า นายทักษิณ ชินวัตร เป็นเจ้าของ หรือพยายามเป็น “ผู้นำจิตวิญญาณ” พรรคก้าวไกล ก็มีความหมายไม่แตกต่างกัน คือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นเจ้าของ อย่างน้อยก็เคยลงทุนมาตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ ภาพเหล่านั้นก็ยังติดตา แต่เวลานี้ภาพของนายพิธา ถือว่าโดดเด่นมากกว่าไปแล้ว จนมีการตั้งข้อสังเกตว่า สาเหตุที่นายพิธา ไม่ได้เป็นนายกฯ คนที่ 30 ก็น่าจะมาจากคนกันเองนี่แหละ ขัดขวาง
เมื่อวกมาที่ นายชัยธวัช ตุลาธน ที่ต้องมารับหน้าที่หัวหน้าพรรคก้าวไกล แม้จะบอกว่าแค่ชั่วคราว เพื่อรอนายพิธา กลับมา แต่อย่างที่รู้กันว่าเมื่อพิจารณาจากแนวโน้มคดี “ถือหุ้นสื่อ” แล้วมันยาก ขณะเดียวกันในฐานะ “เพื่อนซี้” มันก็เหมือนส่งเข้ามา “กระชับบทบาท” ให้กลับมาอยู่ในมือ อีกทั้งต้องไม่ลืมว่า ยังเหลือเวลาอีกไม่กี่ปีแล้ว หลังจากนายธนาธร ถูกตัดสิทธิ์จากคดี “ปล่อยเงินกู้” มันก็ถือว่าเป็นจังหวะเหมาะพอดี แบบเนียนๆ
ดังนั้น แม้มองภายนอกเวลานี้พรรคก้าวไกลจะดูเหมือนกับไม่มีเรื่องราวความขัดแย้ง มีภาพของพรรคอุดมการณ์มีเป้าหมายเพื่อ “คนเท่ากัน” สร้างสังคมใหม่ แต่นั่นเป็นการมุมมองแบบโลกสวย ไม่มีจริง ในฝันแบบจินตนาการเท่านั้น เพราะสำหรับคอการเมืองย่อมมองออกว่ามันมีความ “คุกรุ่น” อยู่ภายใน อย่างน้อยก็มีฝ่ายที่เชียร์ นายพิธา โดยเฉพาะพวก “ด้อมส้ม” ทั้งหลาย ขณะที่อีกด้านก็พยายามหนุน “ฝ่ายจิตวิญญาณ” ที่สร้างพรรคมาตั้งแต่อนาคตใหม่ ซึ่งทั้งสองฝ่ายยังไม่จำเป็นต้องปะทะกันแบบเปิดเผยในเวลานี้ เพียงแต่ว่าฝ่ายหลังได้จังหวะกระชับดึงบทบาทกลับมาอยู่ในมือมากขึ้นเท่านั้นเอง !!