xs
xsm
sm
md
lg

โทนี่-ชินวัตร สะสมยี้ให้รัฐบาล !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ทักษิณ ชินวัตร - พายัพ ชินวัตร
เมืองไทย 360 องศา

แค่เรื่องสถานะ “นักโทษเทวดา” ของ “โทนี่” นายทักษิณ ชินวัตร เรื่องเดียวก็เสี่ยงกับภาวะ “ยี้” เพราะเวลานี้สังคมยังสงสัยกันว่า รักษาอาการ “โคม่า” หลายโรคอยู่ที่ชั้น 14 ที่โรงพยาบาลตำรวจ จริงหรือเปล่า เพราะดูเหมือนว่าทุกฝ่ายพร้อมใจกันปิดบัง พยายามใช้วิธีให้กาลเวลาค่อยลบเลือนความสนใจลงไปเรื่อยๆ หรือเปล่า ซึ่งก็ทำท่าจะได้ผล เพราะเวลานี้สังคมหันไปสนใจและติดตามนายกรัฐมนตรีคนใหม่ นายเศรษฐา ทวีสิน ที่กำลังฟิต ประชุม เดินสายรับฟังข้อมูลฟังปัญหาชาวบ้าน คิวไม่ว่างทั้งวัน

แต่ล่าสุด ก็ดันมี “ข่าวหลุด” ออกมาซึ่งไม่รู้ว่าออกมาจากฝ่ายไหน หวังดีประสงค์ร้ายหรือเปล่า กับข่าวคำสั่งตั้ง นายพายัพ ชินวัตร น้องชาย นายทักษิณ ชินวัตร เป็นประธานที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และลูกชาย เป็นเลขานุการส่วนตัวนายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งต่อมา นายสุทิน ก็ออกมาปฏิเสธว่า “ยังไม่ได้ตั้ง” เพราะยังไม่มีอำนาจแต่งตั้งใคร เพราะรัฐบาลยังไม่ได้แถลงนโยบายต่อสภา ทุกอย่างจึงยังไม่สมบูรณ์ทางกฎหมาย

โดยคำสั่งดังกล่าวที่หลุดออกมาเป็น ร่าง คำสั่งกลาโหม เพื่อเตรียมแต่งตั้งทีมทำงานของ นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม โดยมีเนื้อหาระบุว่า อาศัยอำนาจตาม พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 มาตรา 8 วรรค 2 ที่ รมว.กลาโหม สามารถแต่งตั้งบุคคลซึ่งเห็นสมควรตามเหตุผลในทางการเมือง จึงมีคำสั่งแต่งตั้ง 6 นาย ดังนี้

1. นาย พายัพ ชินวัตร เป็น ประธานที่ปรึกษา รมว.กลาโหม
2. นายพอพงษ์ ชินวัตร เป็น เลขานุการประจำตัว รมว.กลาโหม
3. พล.ท.เดชนิธิศ เหลืองงามขำ เจ้ากรมการเงินกลาโหม เป็น หัวหน้าสำนักงาน รมว.กลาโหม
4. พล.ท.เพชรรัตน์ ลิ้มประเสริฐ ที่ปรึกษาสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เป็น รองหัวหน้าสำนักงาน รมว.กลาโหม
5. พล.อ.ต.วรชาติ ฟองชล ผู้ทรงคุณวุฒิสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เป็น คณะที่ปรึกษา รมว.กลาโหม
6. พล.ต.อัครภณ ทองสุทธิ์ ผู้ชำนาญการ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เป็น คณะที่ปรึกษา รมว.กลาโหม

อย่างไรก็ตาม เอกสารดังกล่าว ยังไม่พบการลงนามโดย รมว.กลาโหม

ต่อมา นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กว่า “ตามที่มีกระแสข่าวว่า ผมแต่งตั้งบุคคลรับตำแหน่งต่างๆ ผมขอเรียนว่า ยังไม่มีการแต่งตั้งหรือเตรียมแต่งตั้งใครเลย เพราะ ณ เวลานี้ผมยังไม่สามารถสั่งราชการได้ เพราะ ต้องรอกระบวนการตามกฎหมาย คือ ต้องหลังจาก การแถลงนโยบาย ต่อสภาเสร็จสิ้นสมบูรณ์ครับ”

จากนั้นเขาได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า “เอกสารเรื่องการแต่งตั้งหรือการเตรียมแต่งตั้งตำแหน่งต่างๆ เป็นของปลอม ที่เกิดจากผู้ไม่หวังดีครับ”

จะว่าไปหากเอกสารดังกล่าวมีการลงนามแต่งตั้งจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือเป็นเอกสารจริง ก็ถือว่าไม่ผิด หากบุคคลที่มีรายชื่อดังกล่าวมีคุณสมบัติครบถ้วน และก็ถือว่ามีความสามารถ แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ การมีชื่อ มีนามสกุล “ชินวัตร” อีกมุมหนึ่งมันก็เหมือนกับการเป็น “เครือญาติของเถ้าแก่” ที่ถูกฝากฝังเข้ามาทำงานในบริษัทอะไรประมาณนั้น อีกทั้งที่ผ่านมา สำหรับ นายพายัพ ชินวัตร ที่เป็นน้องชายของนายทักษิณ ชินวัตร ก็เคยมีประวัติ “ไม่เบา” อยู่เหมือนกัน ส่วน นายพอพงษ์ ชินวัตร ลูกชายของนายพายัพ หลายคนคงยังไม่ค่อยคุ้น แต่เมื่อเห็นชื่อ และตำแหน่งดังกล่าวมันก็มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากจะถูกมองว่าใช้เส้นสายเครือญาติเข้ามารับตำแหน่ง

แม้ว่าจะว่าไปแล้วทั้งตำแหน่งประธานที่ปรึกษา และตำแหน่งเลขานุการประจำตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ว่านี้ หากมีการแต่งตั้งจริง มันก็ไม่ใช่มีอำนาจ หรือบทบาทอะไรมากมาย เพียงแต่ว่าอาจมีผลในเรื่องของ “โปรไฟล์” ส่วนตัวที่สมัยก่อนสำหรับใช้พิมพ์นามบัตร อะไรทำนองนี้

ตรงกันข้ามหากเป็นจริงดังรายงานข่าวหลุดออกมา หรือมีการแต่งตั้งเกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเรียบร้อยแล้ว เพราะในตอนแรก นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม บอกแค่วันวันนี้ยังแต่งตั้งใครไม่ได้ เพราะยังไม่ได้แถลงนโยบายเท่านั้น ไม่ใช่หมายความว่า“จะไม่ตั้ง” แม้ว่าภายหลังจะบอกเพิ่มเติมว่าเป็นเอกสารปลอมก็ตามที

หากพิจารณากันตามที่เห็นมันก็เหมือนกับการ “หยั่งเชิง” อะไรบางอย่าง เหมือนกับการวัดอารมณ์สังคมรอบข้างก็ได้ว่ามีความเห็นอย่างไรกับครอบครัว “ชินวัตร” ของนายทักษิณ ชินวัตร ที่เวลานี้กำลังถูกจับจ้องในเรื่อง “สถานะเทวดา” ถูกวิจารณ์ในเรื่อง “คนไม่เท่ากัน” ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบบรรยากาศ และสถานการณ์กับในอดีตแล้วถือว่า ทุกอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปแทบจะสิ้นเชิงแล้ว และที่สำคัญเขากำลังมี “คู่แข่ง”ใหม่ อย่างพรรคก้าวไกล ที่กำลังแย่งชิงมวลชนไปเกือบหมดแล้ว

แน่นอนว่า หากจะโฟกัสก็คงต้องโฟกัสไปที่ นายทักษิณ ชินวัตร เป็นหลัก ว่าในที่สุดแล้วอาการป่วยหนักของเขาที่แพทย์จากโรงพยาบาลตำรวจรักษาอาการอยู่บนชั้น 14 จะมีความสามารถรักษาจนพ้นขีดอันตรายได้แล้วหรือยัง เพราะเมื่อเวลาผ่านไปนานหลายสัปดาห์ หากคนไข้ยังอยู่ที่เดิม นั่นเท่ากับว่า นายทักษิณ ยังโคม่า หรืออีกทางหนึ่งแพทย์หมดทางรักษาแล้ว ได้แต่ประคองอาการไปเรื่อยๆ

ขณะเดียวกัน อีกความเชื่อหนึ่ง ก็คือ ในที่สุดแล้ว นายทักษิณ ชินวัตร จะไม่ต้องติดคุก หรือถูกส่งกลับเรือนจำแม้สักวันเดียว จากโทษจำคุกที่เหลืออยู่แค่ 1 ปีในเวลานี้

ดังนั้น สิ่งที่ต้องระวัง ก็คือ อารมณ์และความรู้สึกของสังคมที่ยังคุกรุ่นกับภาพของ “อภิสิทธิ์ชน” เหนือกว่าคนอื่น และหากกรณีของคำสั่งของ “สองพ่อลูกชินวัตร” เกิดเป็นจริงขึ้นมาในภายหลัง มันก็จะกลายเป็นตัวเร่งการ “สะสมยี้” ให้เร็วขึ้นโดยไม่จำเป็น และหวังว่าทุกอย่างมีการกล่าวถึงข้างต้นนี้เป็นเรื่องไม่จริง และเป็นเอกสารปลอมทั้งสิ้น !!


กำลังโหลดความคิดเห็น