ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ติดปมจริยธรรม!! “ทนายถุงขนม” ว่าที่ รมต.สำนักนายกฯ จะถูกตัดตอน ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ หรือไปตายเอาดาบหน้า ที่ศาลรธน.
ปัญหาคุณสมบัติของ “ทนายถุงขนม” พิชิต ชื่นบาน ทนายความประจำตระกูลชินวัตร ที่มีชื่อติดโผ “ครม.เศรษฐา1” ในตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังเป็นที่วิพากวิจารณ์
เพราะเหตุจากหิ้วถุงขนม ที่มีเงิน 2 ล้าน ไปมอบให้เจ้าหน้าที่ธุรการศาล ระหว่างการพิจารณาคดี ที่ดินรัชดาฯ ของศาลฎีกาคดีแผนกอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จนถูกศาลฎีกามีคำสั่งจำคุก 6 เดือน ไม่รอลงอาญา ฐานละเมิดอำนาจศาล ตามมาด้วย สภาทนายความ มีมติลงโทษ ให้ลบชื่อ “พิชิต ชื่นบาน” ออกจากทะเบียนผู้ประกอบวิชาชีพทนายความ
เมื่อมามีชื่อเป็น ว่าที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯครั้งนี้ จึงมีเสียงวิพากวิจารณ์ว่าเหมาะสมหรือไม่ เพราะอาจจะขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี ตามรธน. มาตรา 160 (4),(5) ... คือ ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และ มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
แต่เรื่องนี้ “พิชิต” ออกมายืนยันว่า ไม่ขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามใดๆทั้งสิ้น เขาไม่เคยทำผิดคดีอาญา ไม่เคยมีประวัติอาชญากรรม เรื่องถุงขนมนั้น เขาถูกแจ้งข้อกล่าวหาเมื่อปี 2552 ว่า “ร่วมกันใช้ ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงานฯ” แต่พนักงานสอบสวน (ตำรวจ) สน.ชนะสงคราม มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง ต่อมาพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 ก็มีคำสั่งไม่ฟ้องเด็ดขาด
แต่ที่เขาถูกสั่งจำคุก 6 เดือนนั้น ไม่ใช่คำพิพากษาของศาล แต่เป็นคำสั่งศาลฐานละเมิดอำนาจศาล ไม่ใช่ความผิดให้สินบนเจ้าหน้าที่รัฐ
และหลังจากนั้น 2 ปี ตัวเขายังไปสมัครรับเลือกตั้ง ได้เป็นส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ในปี 54-56 และในปี 62 ก็เป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยรักษาชาติ แต่พรรคถูกยุบไปเสียก่อน
ไม่เพียงเท่านั้น จากปี 52 มาถึงวันนี้ เขาพ้นโทษมาแล้ว 10 ปี ซึ่งรัฐธรรมนูญ 2560 ให้โอกาสเข้าสู่ตำแหน่งรัฐมนตรีได้ ... ดังนั้นเชื่อว่า ไม่มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ หรือลักษณะต้องห้ามใดใดทั้งสิ้น
แม้เจ้าตัวจะมั่นอกมั่นใจ แต่ก็ยังมีคนเห็นต่าง และยกข้อกฎหมาย และการตีความมาหักล้าง
อย่างเช่น “สมชัย ศรีสุทธิยากร” อดีต กกต. บอกว่า มีอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาท่านหนึ่ง ส่งไลน์มาบอกว่า คดีถุงขนม 2 ล้าน ไม่ใช่สินบน แต่ลงโทษว่าละเมิดอำนาจศาล โดยอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องสินบน กับนายพิชิต ชื่นบาน ซึ่งอัยการสูงสุดในเวลานั้นก็คือ “ชัยเกษม นิติสิริ” ที่ปัจจุบันเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทยนั่นเอง เนื่องจากไร้ข้อเท็จจริงและหลักฐาน คือของกลางในสำนวนคดี
แต่“พิชิต”ก็ถูกจำคุก จึงขาดคุณสมบัติตามรธน. มาตรา 160 (7) คือเป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าว ไม่ได้ระบุว่า เป็นเหตุจากอะไร โทษตามคดีอาญา หรือไม่ ดังนั้นเมื่อชัดเจนว่านายพิชิต เคยต้องโทษจำคุก ฐานละเมิดอำนาจศาล 6 เดือน จึงถือว่า เข้าข่ายขาดคุณสมบัติ!!
เรื่องนี้ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ควรตัดไฟแต่ต้นลม เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชน
เมื่อมีปัญหาข้อกฎหมาย นักข่าวจึงไปถาม “วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี ก็ได้รับคำตอบว่า “พิชิต” ได้มาบอกว่า ข้อกล่าวหาเรื่องทุจริตนั้นมีจริง แต่สุดท้ายอัยการสั่งไม่ฟ้อง ส่วนที่ลงโทษไปนั้นเป็นเรื่องละเมิดอำนาจศาล และที่สำคัญมันผ่านมาเกิน 10 ปีแล้ว จึงไม่เข้าลักษณะต้องห้ามตามรธน. มาตรา 98 และ160 ...แต่ถ้าถูกจำคุกและพ้นโทษไม่ถึง 10 ปี เป็นรัฐมนตรีไม่ได้
ส่วนการละเมิดอำนาจศาล ถือเป็นคำพิพากษา หรือเป็นคำสั่งศาล นายวิษณุ บอกว่า เป็นคำสั่ง เมื่อถามว่า ถ้าเป็นคำสั่ง สามารถนำมาใช้กับ รธน. มาตรา 98 และ160 ได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่อยากตอบ เพราะเป็นปัญหาใหม่อีกข้อหนึ่ง และโดยทั่วไปไม่ถือเป็นโทษอาญา
แล้วถ้าจะมองในเรื่องจริยธรรม สามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ได้หรือไม่ “รองวิษณุ” ตอบว่า ถือเป็นอีกประเด็นหนึ่ง เพราะหากจะตั้งข้อสังเกตเรื่องจริยธรรม ก็สามารถตั้งได้กับทุกคน และจะหนักเบา มากน้อยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เมื่อถามว่า หน่วยงานใดควรจะเป็นผู้ชี้ขาดเรื่องจริยธรรม “รองวิษณุ” ตอบว่า สภาต้องพิจารณา และส่งเรื่องให้ศาล รธน. เป็นผู้ชี้ขาด เพราะเป็นเรื่องคุณธรรม จริยธรรม คนอื่นจะไปชี้ หรือเลขาธิการครม. จะไปชี้ไม่ได้
ส่วนถ้าเป็นประเด็นข้อกฎหมาย ทางสำนักเลขาครม. ก็จะรายงานให้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ทราบ แล้วให้ตัดสินใจเอง ถ้าเห็นว่าปล่อยไปยุ่งแน่ และไม่อยากไปตายเอาดาบหน้า ก็ควรตัดตอนเสียก่อนจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ
ต้องติดตามว่า “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี จะตัดสินใจอย่างไรกับปัญหา “ถุงขนม” นี้ !!
**"ชลน่าน-เสรีพิศุทธิ์" สองตัวตึง ลาแล้วจ้า..ผิดที่ช้าไป หรือเพราะน้อยใจ อ๊ะป่าว?
กรณีของ “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” ลาออกจากหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ “พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ เตมียเวส” ลาออกจาก ส.ส.
เสียงที่สะท้อนกลับต่อ “หมอชลน่าน” ไม่ใช่คำชมเชยหากเป็นการด้อยค่าด่าไล่หลัง ขณะที่ผู้อาวุโสตัวตึง ได้รับความเห็นอกเห็นใจมากกว่า
“หมอชลน่าน” โดนรุมแซะมาโดยตลอด "จะลาออกกี่โมง" ถามตอกย้ำซ้ำๆ กลายเป็นคำหลอกหลอนหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
เรื่องของเรื่องเมื่อคำพูดเป็นนาย... ดันไปเล่นใหญ่ จะลาออกจากหัวหน้าพรรคแน่ หากเพื่อไทยจับมือกับ 2 ลุงตั้งรัฐบาล
จนสถานการณ์เป็นไปอย่างที่ทุกคนเห็น เกิดเป็นรัฐบาลสลายขั้ว คนเขาก็เลยถามว่า จะลาออกกี่โมง
ผ่านไปจนกระทั่งจัดตั้งรัฐบาล แบ่งสรรปันส่วนครม.เสร็จ “หมอชลน่าน” ติดโผ รมว.สาธารณสุข จึงประกาศลาออก
“หมอชลน่าน” บอกว่าที่ลาออกช้าเพราะ ต้องรอให้จบภารกิจจัดตั้งรัฐบาลซะก่อน
เมื่อเพื่อไทยไปสู่ดวงดาว ก็ถึงคราวอำลาตำแหน่ง เพื่อรักษาสัจจะ รักษาคำพูดที่เคยให้ไว้
แต่ลาออกวันนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไร กลับถูกด้อยค่าว่า ช้าไป แถมหน้าระรื่น เพราะยังไงก็มีตำแหน่ง รัฐมนตรีสาธารณสุขรองรับ
เรียกว่าไม่ใช่สปิริต แต่เป็นเพราะไม่มีคำแก้ตัว จึงถูกเอาไปเทียบกับกรณีของ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ที่ไม่ยอมร่วมกับรัฐบาลทหาร เมื่อประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาล ก็ขอลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค
ส่วนกรณีของ “พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์” ประกาศลาออกจาก ส.ส. แน่นอนว่า เป็นคนละอารมณ์กับ “หมอชลน่าน” มีคนเห็นอกเห็นใจ โดยตั้งคำถามว่า ที่ลาออกนั้นเพราะน้อยใจหรือเปล่า ?
ผู้อาวุโสหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยถือเป็น นักการเมืองตัวตึง ที่ยืนซดกับ “ด้อมส้ม” แอ่นอกรับคำด่าจากเด็กเมื่อวานซืน อย่าง “กลุ่มทะลุวัง” ที่ต่อต้านเพื่อไทยเททิ้งก้าวไกล
ขณะที่ตอนที่ก้าวไกลเป็นแกนนำ "ป๋าเสรี" ก็เต็มที่ กับการประสานจัดตั้งรัฐบาล และสนับสนุนเสนอชื่อ "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" เป็นนายกรัฐมนตรี ก็มีพรรคและตัวของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เป็นด่านหน้าคอยปะทะกับ ดรามา และ รับคณะทัวร์ทั้งหลาย
หลังจากสวิงเปลี่ยนขั้วมาเป็นพรรคเพื่อไทย กับพรรคขั้วอำนาจเก่าเสร็จสมอารมณ์หมาย ชื่อของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ที่อยู่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล ก็อยู่ในกลุ่มของ ไม่มีอะไรจะตอบแทน
นี่เป็นเหตุผลให้คอการเมืองทั้งหลายคิดไปว่า การลาออกจากตำแหน่งส.ส.และไม่ขอรับตำแหน่งใดๆ ในรัฐบาลนี้ จะไปทำหน้าที่เป็นมือปราบทุจริตของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เพราะอาการน้อยใจของคนชราหรือไม่
ต่างกรรมต่างวาระ ว่าไปแล้ว การลาออกของ 2 คน 2 ตัวตึง ระหว่าง “หมอชลน่าน” และ “พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์” ดรามาจะไม่เกิด ถ้าลาออกอย่างถูกที่ถูกเวลา
“หมอชลน่าน” หากลาออกตั้งแต่ตอนชัดเจนว่ามีลุงเข้ามาก็จะไม่โดนด้อยค่า ทำตามสัจจะวาจา ณ เวลานั้น จะมีแต่คำสรรเสริญ แน่ๆ
ส่วน "เสรีเสียงเดียว" ทุ่มทั้งตัวและหัวใจ สุดท้ายมือเปล่า ก็เข้าใจได้ว่า เสียงน้อยด้อยค่า หากลาออกก่อนนี้ บางทีอาจจะไม่มีจะข้อสงสัยเหมือนวันนี้
ปูนนี้แล้วไม่มีน้อยใจ มีแต่กล้าท้าชน สมศักดิ์ศรีวีรบุรุษนาแก
บทบาทจากนี้ของ “สองตัวตึง” จะเป็นเช่นไร ต้องติดตามกันต่อไป.