“เรืองไกร” ยื่นหนังสือถึงนายกฯ สั่งกรมสรรพากรตรวจสอบ “ชาดา” ว่าที่ รมช.มหาดไทย เสียภาษีถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ หลังพบในบัญชีทรัพย์สินที่ยื่น ป.ป.ช.แจ้งรายได้นำไปเสียภาษี 20 ล้าน แต่เงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากรลดเหลือเพียง 6 ล้านบาท
วันนี้ (30 ส.ค.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ยื่นเรื่องถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อให้สั่งการให้กรมสรรพากรตรวจสอบ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ผู้ที่มีชื่อใน “ครม.เศรษฐา” ว่า จะได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เนื่องจากจากการตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินของ ส.ส.ที่พ้นจากตำแหน่ง ซึ่งมีการเปิดเผยไว้ในเว็บไซต์ของ ป.ป.ช. กว่า 500 คน นั้น พบข้อสังเกต กรณี นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ในเรื่องภาษีเงินได้ เพราะการแจ้งรายได้ที่นำไปเสียภาษี 20,012,720 บาท ขณะที่ เงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากรที่แจ้งไว้ 6,036,751.38 บาท ซึ่งเป็นผลต่างเกือบ 14 ล้านบาท (20,012,720 - 6,036,751.38) จึงขอให้มีการตรวจสอบภาษีดังกล่าว ว่ามีการนำรายได้ที่แจ้งต่อ ป.ป.ช. ไปชำระภาษีให้แก่กรมสรรพากรโดยถูกต้องครบถ้วน หรือไม่ โดยมีรายละเอียดดังนี้
ข้อ 1. นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. กรณีพ้นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2566 โดยระบุข้อมูลรายได้ ดังนี้
- รายได้ค่าตอบแทน 1,362,720 บาท
- รายได้ค่าที่ปรึกษา 600,000 บาท
- รายได้ค่าเช่าแผงเนื้อ 600,000 บาท
- รายได้ค่าขายนาฬิกา 1 เรือน 8,000,000 บาท
- รายได้ค่าอ้อย 450,000 บาท
- รายได้ธุรกิจค้าโค-กระบือ 10,000,000 บาท
- รายได้ค้าโคกระบือชำแหละ 7,000,000 บาท
รวมรายได้ต่อปี 28,012,720 บาท
ข้อ 2. นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. กรณีพ้นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2566 โดยระบุข้อมูลการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในรอบปีภาษีที่ผ่านมา ดังนี้
- เงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร 6,036,751.38 บาท
ข้อ 3. นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. กรณีพ้นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2566 โดยระบุรายละเอียดประกอบรายการเงินลงทุน (บางส่วน) ที่เกี่ยวกับรายได้ ดังนี้
- โค จำนวน 214 ตัว 10,700,000 บาท
- กระบือ จำนวน 132 ตัว 6,600,000 บาท
ข้อ 4. เมื่อเปรียบเทียบกับกรณี นายจักรพันธ์ ปิยพรไพบูลย์ ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. กรณีพ้นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2566 โดยระบุข้อมูลรายได้ ดังนี้
- รายได้เงินเดือน 1,362,720 บาท
- รายได้จากการเลี้ยงสัตว์ 600,000 บาท
รวมรายได้ต่อปี 1,962,700 บาท
ข้อ 5. นายจักรพันธ์ ปิยพรไพบูลย์ ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. กรณีพ้นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2566 โดยระบุข้อมูลการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในรอบปีภาษีที่ผ่านมา ดังนี้
- เงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร 1,962,700 บาท
ข้อ 6. นายจักรพันธ์ ปิยพรไพบูลย์ ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. กรณีพ้นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2566 โดยระบุรายละเอียดประกอบรายการเงินลงทุน(บางส่วน)ที่เกี่ยวกับรายได้ ดังนี้
- ไก่ชน พร้อมอุปกรณ์การเลี้ยง จำนวน 500 ตัว 5,000,000 บาท
ข้อ 7. กรณีของ นายจักรพันธ์ ปิยพรไพบูลย์ จะเห็นได้ว่า รายได้รวมกับเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากรมีจำนวนที่เท่ากัน
ข้อ 8. แต่กรณีของ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ที่แจ้งรายได้รวมต่อปี 28,012,720 บาท เมื่อหักรายได้ค่าขายนาฬิกา 1 เรือน 8,000,000 บาท (น่าจะเป็นการขายสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมเสียภาษี) ควรจะเหลือรายได้ที่นำไปเสียภาษี 20,012,720 บาท ดังนั้น เงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร ที่แจ้งไว้ 6,036,751.38 บาท จึงมีผลต่างเป็นจำนวนประมาณเกือบ 14 ล้านบาท (20,012,720 - 6,036,751.38)
กรณี จึงมีเหตุอันควรขอให้มีการตรวจสอบภาษีต่อไปว่ามีการนำรายได้ที่แจ้งต่อ ป.ป.ช. ไปชำระภาษีให้แก่กรมสรรพากรโดยถูกต้องครบถ้วน หรือไม่