เมืองไทย 360 องศา
หากพิจารณากันแบบเห็นภาพจริงในเวลานี้ หลังจากได้เห็นภาพการแถลงข่าวการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ที่มีพรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำ และมี “พรรคสองลุง” เข้าร่วมในรัฐบาลผสม 11 พรรค 314 เสียง ไปเมื่อวันก่อน และโหวตนายกรัฐมนตรีในวันที่ 22 สิงหาคม ซึ่งหากไม่มีอะไรผิดพลาด ก็จะมีนายกรัฐมนตรีที่ชื่อ นายเศรษฐา ทวีสิน แต่ดูตามรูปการณ์แล้ว โอกาสผ่านน่าจะมากกว่าไม่ผ่าน
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องพิจารณาควบคู่กันไปด้วย ก็คือ “แรงกระเพื่อม” จาก “พรรคสองลุง” ดังกล่าวนี่เอง ที่ทำให้หลายคนได้รับผลกระทบตามมาด้วย บางคนเหมือนกับว่า “ยืนงงในดงสองลุง” กันเลยทีเดียว หรือบางคนมีลักษณะไม่ต่างจากการ “ไร้ตัวตน” ไปเลยก็มี หากไม่ปรับตัวกับสถานการณ์ใหม่ ยังจมปลักอยู่กับ “วาทกรรม” เดิมๆ เช่น “ฝ่ายประชาธิปไตย กับ ฝ่ายเผด็จการ” นับจากนี้ไป ถือว่าใช้ไม่ได้ผล หรือจะใช้แนวนี้หากินในทางการเมืองต่อไปอีกไม่ได้แล้ว
การประกาศ “สลายขั้ว” ของพรรคเพื่อไทย เพื่อเปิดทางให้การจัดตั้งรัฐบาลผสมเป็นผลสำเร็จ หลังจากที่มีการฉีกเอ็มโอยูกับพรรคก้าวไกล เพื่อเปิดทางให้เกิดสมการทางการเมืองใหม่ เป็น “ขั้วใหม่” ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ กับอีกฝั่งหนึ่ง ที่กำลังกลายเป็น “ภัยคุกคามใหม่” มีพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำ
แน่นอนว่า เมื่อมีการสลายขั้วเดิม จนกลายมาเป็นขั้วใหม่ ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง มันก็ย่อมส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับ “แกนนำ” บางคน โดยเฉพาะแกนนำคนเสื้อแดงในอดีตหลายคน ที่มักเน้นย้ำในเรื่อง “ฝ่ายประชาธิปไตย” กับ “ฝ่ายเผด็จการ” เนื่องจากที่ผ่านมาตัวเองมักเคลมว่าอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยมาตลอด ขณะเดียวกันก็ผลักอีกฝั่งว่าเป็นเผด็จการมาตลอด จนกระทั่งเกิดการสลายขั้ว และพรรคเพื่อไทย ดึงพรรคสองลุงเข้ามาร่วมรัฐบาล แกนนำพวกนี้ก็ได้แต่ยืนงง ทำอะไรไม่ถูก
ที่ผ่านมา หากว่าไปแล้วสำหรับแกนนำคนเสื้อแดงหลายคน ถือว่าแทบจะ “ไร้ต้นทุน” ไม่ต่างจากคนไร้หัวนอนปลายเท้า จนกระทั่งพอมีชื่อให้ได้จดจำจาก “ม็อบเสื้อแดง” เพื่อสนับสนุน นายทักษิณ ชินวัตร พรรคไทยรักไทย ต่อเนื่องกันมาจนมาถึงพรรคเพื่อไทย ก็อย่างที่รู้กันว่าในช่วงเวลานั้น นายทักษิณ ได้รับความนิยมสูงมาก ทำให้หลายคนปรามาส ว่า คนพวกนี้ “มาเกาะ หรือโหน” และหาประโยชน์ทางการเมือง หรือไม่ก็ วิน-วิน พึ่งพาอาศัยกัน เพราะการเกิดม็อบคนเสื้อแดงส่วนสำคัญก็คือการสนับสนุน นายทักษิณ และพรรคการเมืองของเขาในลักษณะแบบ “คู่ขนาน” กันไป
จนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านไป สถานการณ์ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป จากฝ่ายตรงข้ามก็กลายมาเป็นพวกเดียวกัน พวกเดียวกันที่เคยมาจากฐานเดียวกันกลับกลายมาเป็นคู่แข่งที่จะต้องฟาดฟันกันไปในอนาคตข้างหน้า
จากสถานการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ดังกล่าว แน่นอนว่า ย่อมส่งผลกระทบกับแกนนำคนเสื้อแดงหลายคน อย่างน้อยกับคนที่เคย “ได้ประโยชน์” จาก นายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย มากกว่า ที่พรรคเพื่อไทยได้รับจากเขา และที่สำคัญ ในสถานการณ์ที่ “ถดถอย” แบบนี้ มันก็ไม่ต่างจากคนที่ “ไร้ประโยชน์” เพราะอย่างที่บอกก็คือคนพวกนี้ล้วนเติบโตมีชื่อจากการเป็น “คนเสื้อแดง” และ “รับใช้ทักษิณ” เท่านั้น ไม่ได้มีต้นทุนอะไรมาก่อน ดังนั้น เมื่อเกิดการ “สลายขั้ว” และกลายเป็น “ขั้วใหม่” มันก็ย่อมส่งผลกระทบรุนแรงกับพวกเขา
หากโฟกัสไปที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำคนเสื้อแดง ที่เคยได้ดิบได้ดีเป็นถึงรัฐมนตรี และล่าสุด เมื่อการเลือกตั้งที่ผ่านมา ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ร่วมเดินสายปราศรัยหวังว่าจะใช้มวลชนคนเสื้อแดงดึงกลับมาเป็นฐานสนับสนุน แต่กลายเป็นว่า ผลการเลือกตั้งออกมากลับพ่ายแพ้หมดรูป ต้องใช้คำว่า พรรคเพื่อไทย พ่ายแพ้หมดรูป เพราะสำหรับ นายทักษิณ ชินวัตร แล้ว นี่คือ การความพ่ายแพ้ครั้งแรก แพ้แม้กระทั่งจังหวัดเชียงใหม่บ้านเกิด
ล่าสุด นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ก็ประกาศยุติบทบาทกับพรรคเพื่อไทย ความหมายก็คือ รับไม่ได้ที่พรรคเพื่อไทย ไปจับมือกับ “พรรคสองลุง”
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” ของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ว่า ตรงไปตรงมา ถึงเวลาที่ต้องบอกกับผู้คน ว่า ต้องยุติบทบาท ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย แล้ว ขายข้าวแกง ไม่ไปยุ่งเกี่ยวอีก จะใช้คำว่าลาออก ก็ไม่ได้อยู่ในโครงสร้าง จึงใช้คำว่ายุติบทบาท
ทั้งนี้ ได้บอกกับผู้ใหญ่ในพรรคตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม เมื่อสถานการณ์อาจจะมีแนวโน้มว่ามีการจับมือกันของพรรคการเมืองบางพรรค ที่จะมาจัดตั้งรัฐบาล ก็คือ การที่พรรคเพื่อไทย จับมือกับพรรค 2 ลุง เป็นเหตุผลสำคัญ ไม่ได้โกรธเคือง หรือไม่มีอะไรขัดข้องหมองใจกัน แต่ตนได้บอกผู้ใหญ่ไปว่า ถ้าถึงจุดนั้นตนก็อยู่ในพรรคไม่ได้
เหตุการณ์เดินมาเรื่อยๆ วันที่ 12 สิงหาคม ได้ติดต่อกับ นายเศรษฐา ทวีสิน บอกว่า ตนคงอยู่ในพรรคหรือในกระบวนการไม่ได้ บอก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และผู้ใหญ่ทุกคนในพรรค รวมถึง นายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ด้วย
“ที่นี่เป็นบ้านของผม ผมโตที่นี่ เติบโตที่นี่ สู้ที่นี่ คนในบ้านพี่น้องผมทั้งนั้น แต่ว่าถึงเวลาก็ต้องตัดสินใจ ยอมรับว่า ตัดสินใจยาก ไม่ใช่เรื่องยศศักดิ์ตำแหน่ง แต่เป็นเรื่องความผูกพัน ความรัก และความปรารถนา แต่ขอบอกทุกคนในเพื่อไทย และกองเชียร์ผู้สนับสนุนพรรค ว่า ไม่มีทางที่จะทำให้พรรคนี้เกิดความเสียหาย ไม่มีทางที่ออกมาแล้วเขวี้ยงก้อนหินใส่หลังคาบ้าน” โดย นายณัฐวุฒิ กล่าวเสียงสั่นเครือ
เมื่อได้ยินเหตุผลข้างต้นแล้ว ก็ต้องบอกว่า “หล่อมาก” เหมือนกับว่า รับไม่ได้กับการที่ไปจับมือกับเผด็จการ แต่หากพิจารณากันตามความเป็นจริงแล้ว จะเห็นว่า เวลานี้เขาแทบจะไม่มีบทบาทใดๆ ในพรรคเพื่อไทยแล้ว และที่สำคัญ บทบาทในฐานะผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ก็ไม่ได้ช่วยให้พรรคชนะการเลือกตั้ง ตรงกันข้ามกลายเป็นความพ่ายแพ้ และต้องแสดงความรับผิดชอบมากกว่า
ขณะเดียวกัน คนที่อยู่ในสภาพเดียวกันกับ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ทั้งที่เป็นอดีตแกนนำคนเสื้อแดง รวมไปถึงสมาชิกพรรคคนอื่นอีกบางคน ที่ยังยืนงงทำอะไรไม่ถูกในเวลานี้ เหมือนกับว่า จนมุมกับวาทกรรม “ประชาธิปไตยเผด็จการ” ที่เวลานี้เงียบสนิทไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น หากต้องการมีที่ยืนก็ต้องรีบปรับทิศทางใหม่ เพื่อต่อสู้ในสถานการณ์ใหม่จะดีกว่า เพราะที่ผ่านมาคำว่า “อุดมการณ์” มันแค่จอมปลอม!!