“เอกนัฏ” ขอยุติสงครามสีเสื้อ รทสช.เดินหน้าตั้งรัฐบาลปรองดอง เพื่อส่วนรวม หลังทีมบริหารพรรคคุยเพื่อไทย เป็นทางการ ยืนยันไม่มีก้าวไกล ไม่แก้ ม.112
วันนี้ (18 ส.ค.) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเข้าร่วมตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ว่า มีการพูดคุยกันมาตลอด โดยคณะเจรจามีเพียง นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค และตนที่เข้าไปคุยกับทีมบริหารของพรรคเพื่อไทย เป็นการคุยอย่างเป็นทางการ ได้ระบุเงื่อนไขว่า จะต้องไม่มีการแก้ไข ม.112 ก็ได้รับการยืนยันว่า ไม่มีการแก้ไข และยังไม่มีการพูดคุยเรื่องการแบ่งกระทรวง
ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทย ยังรับปากว่า จะไม่มีพรรคก้าวไกล เป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วย ความจริงพรรครวมไทยสร้างชาติ ติดแค่เรื่องการเดินหน้าแก้ไข ม.112 ของพรรคก้าวไกลเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีเงื่อนไขอื่นอีกหรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า เงื่อนไขสำคัญมีแค่ 2 ข้อ คือ ไม่มีพรรคก้าวไกล และไม่มีการแก้ ม.112 เท่านั้น ทางพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า อยากจะรีบจัดตั้งรัฐบาล เพราะหากบ้านเมืองไม่มีรัฐบาลก็จะแก้ปัญหาให้กับประชาชนลำบาก จึงขอความร่วมมืออย่าไปจมกับความขัดแย้งในอดีต ควรเดินหน้าด้วยความปรองดองสมานฉันท์ดีกว่า
เมื่อถามถึงประเด็นความขัดแย้งในอดีตของกลุ่ม กปปส.กับกลุ่มเสื้อแดงในอดีต นายเอกนัฏ กล่าวว่า ประวัติศาสตร์ลบไม่ได้อยู่แล้ว ตนก็ไม่สามารถปฏิเสธสิ่งที่เคยทำมาได้ แต่ต้องดูว่าเหตุผลที่เคยทำมาตอนนั้นคืออะไร มีความพยายามจะผ่านกฎหมายนิรโทษกรรม จึงได้มีการออกมาชุมนุมต่อต้าน เวลานี้กฎหมายนี้ก็ไม่มีแล้ว เหตุการณ์ก็ผ่านมากว่า 10 ปีแล้ว ความขัดแย้งที่คนเข้าใจว่ามีระหว่างเสื้อเหลือง เสื้อแดง กปปส.ควรจะยุติแล้ว ควรจะร่วมมือกันเดินหน้าประเทศ ให้โอกาสซึ่งกันและกัน
“หลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็มีการเลือกตั้งมาแล้ว 2 ครั้ง ทุกพรรคเข้าสู่การเลือกตั้ง ที่ผ่านมา ต่างคนต่างเจ็บด้วยกัน ผมเองก็ถูกคดี หลายคนอาจจะบอกว่าเรื่องการต่อรองเก้าอี้ ขอบอกว่า เจรจากับผมดีที่สุด เพราะผมเป็นอะไรไม่ได้ติดคดีอยู่ และผมจะไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาเป็นอุปสรรคในการเดินหน้าประเทศ เพราะหากแต่จมอยู่ในอดีตก็จะไม่สามารถเดินหน้าไปสู่อนาคตได้” นายเอกนัฏ กล่าว
ส่วนการคุยเรื่องโควตารัฐมนตรี มีการต่อรองหรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า ไม่มี ตนและหัวหน้าพรรคไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องตำแหน่งอะไรอยู่แล้ว โดยเฉพาะ นายพีระพันธุ์ หากจำได้ในช่วงที่เป็นแคนดิเดตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็เป็นคนเดียวที่ประกาศชัดว่า ขอปฏิเสธทุกตำแหน่งใน ครม.หากเป็นหัวหน้าพรรค วันนี้ก็เช่นเดียวกัน ตนก็ไม่สามารถเป็นอะไรได้ เพราะติดคดี ดังนั้น จึงต้องตัดสินใจบนพื้นฐานการเดินหน้าประเทศ ส่วนจำนวนคณิตศาสตร์คำนวณเก้าอี้ยังไม่ทราบชัดเจน แต่ที่สำคัญคณิตศาสตร์ในระบบรัฐสภาต้องมีเสียงสนับสนุนในสภาเกินครึ่ง เนื่องจากมีบทเฉพาะกาล คือ การออกมาร่วมโหวตนายกฯ จะต้องผ่านมติด้วยคะแนน 375 เสียง ตอนนี้จะต้องช่วยกันให้ผ่าน แต่การจะช่วยหาเสียง สว.นั้นก็เป็นเรื่องยาก ส่วนเสียงของรวมไทยสร้างชาติ 36 เสียงไม่มาก ไม่สามารถไปช่วยมากกว่านั้นได้
เมื่อถามว่า เห็นใจพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ที่จะต้องมาชี้แจงกับกลุ่มสนับสนุนหลังจากตัดสินใจเข้าร่วมกับพรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ นายเอกนัฏ กล่าวว่า ต้องยอมรับในผลการเลือกตั้ง ที่อาจจะไม่ได้เป็นไปตามที่พรรคเพื่อไทยหวัง แต่ระบบของไทยจะต้องโหวตนายกฯ และจะต้องหาทางจัดตั้งรัฐบาลก็เป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยสามารถชี้แจงได้ ส่วนรวมไทยสร้างชาติ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็บอกกับตนชัดเจนว่า ต้องการวางมือ ทั้งหมดอยู่ที่มุมคิด ถ้าทำใจได้ ละได้ คิดเป็นบวกก็เป็นบวกถ้าคิดเป็นลบก็จะไม่จบ จากที่คุยกันเห็นว่าพรรคเพื่อไทยมีหลายเรื่องที่จะต้องทำและเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย
นายเอกนัฏ กล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ว่า ได้มีการพูดคุยกันแต่ยังไม่ตกผลึก มีบางประเด็นในรัฐธรรมนูญที่พรรครวมไทยสร้างชาติคิดว่ายังไม่ควรแก้ เช่น หมวดเกี่ยวข้องกับสถาบันฯ เป็นต้น ดังนั้น จึงจะต้องมาพูดคุยกันอีกครั้ง หากจะแก้ไขจะต้องมีหลักประกันว่าแก้แล้วจะดีขึ้นไม่กลับมาสร้างปัญหา ซึ่งพรรคเพื่อไทยก็เข้าใจ นั่นคือไม่แต่หมวด 1 หมวด 2 ดูว่าอะไรที่เป็นประโยชน์ก็ทำไปแต่จะต้องไม่มีปัญหา เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็มาจากประชาชน จะแก้ก็จะต้องถามประชาชนด้วย ถ้าประชาชนส่งเสียงว่าต้องการแก้รวมไทยสร้างชาติก็ไม่มีปัญหาอะไร
เมื่อถามว่า ได้แจ้งสมาชิพรรคทราบถึงการเข้าร่วมรัฐบาลมีการคัดค้านเรื่องใดหรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า ทุกคนยอมรับได้หมดว่า สามารถทำงานได้ทุกหน้าที่ ทั้งฝ่ายค้านหรือรัฐบาล เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ว่าการโหวตนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย จะผ่าน นายเอกนัฏ กล่าวว่า ไม่มั่นใจจนกว่าจะโหวต พรรครวมไทยสร้างชาติ มี 36 เสียง ไปทางไหนไปทางเดียวกัน แต่การรวบรวมเสียงก็เป็นหน้าที่ของพรรคเพื่อไทยจะดำเนินการ
นายเอกนัฏ กล่าวด้วยว่า เวลานี้มีเรื่องอื่นที่น่าสนใจมากกว่า เช่น เรื่องนโยบาย ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ หรือการปรับโครงสร้างระบบการทำงานให้ทันสมัย และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะประเทศไทยอยู่ในภูมิศาสตร์ที่ได้เปรียบและถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้เก็บเกี่ยวเอาสิ่งใหม่ๆ มา จึงอยากจะช่วยให้ระบบเศรษฐกิจของไทยไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น หลังจากนี้ จะเป็นต้นทุนที่จะต้องเข้าไปทำงานให้เห็นผลการทำงาน เพื่อพิสูจน์ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ตามระบบกติกาที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าจะต้องรับผลในที่สิ่งที่ได้ทำไป ถ้าหากผลงานเป็นที่ไม่พอใจเลือกตั้งครั้งหน้าคนก็จะไม่เลือก
นายเอกนัฏ กล่าวต่อว่า ตนในฐานะเลขาธิการพรรค ขอบอกว่า ไม่สามารถไปรับตำแหน่งรัฐมนตรีได้ โดยส่วนตัวมีความตั้งใจในการทำงานการเมือง และเร่งพัฒนาพรรครวมไทยสร้างชาติให้เป็นสถาบันการเมือง ในส่วนของการทำงานในรัฐบาลก็จะมีบางส่วนเข้าไปร่วม แต่ในส่วนงานการเมืองของพรรคก็เป็นเรื่องสำคัญที่มีความตั้งใจว่า พรรคจะได้นำเสนอแนวทางการทำงานเป็นทางเลือกอีกแบบหนึ่งที่ทันสมัย
นายเอกนัฏ กล่าวถึงกรณีสังคมส่วนใหญ่ มองว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ มีภาพของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นภาพจำ ต้องยอมรับว่าเป็นแบบนั้น แต่สิ่งที่ลึกซึ้งกว่าความเป็นบุคคล คือ ความเป็นอุดมการณ์ จะต้องไม่ยึดติดกับตัวบุคคล ถ้าไม่มีพล.อ.ประยุทธ์ พรรคต้องไปต่อได้ การยึดมั่นในอุดมการณ์เป็นสิ่งที่สำคัญกว่า อาจจะเป็นอุดมการณ์เดียวกันกับสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ รักและยึดมั่น และอาจจะเป็นเหตุผลที่ พล.อ.ประยุทธ์ ออกจากการเมืองแบบเดิมมาทำพรรครวมไทยสร้างชาติก็ได้ ถึง พล.อ.ประยุทธ์ ไปแล้ว แนวทางการทำงานแบบเดิมก็จะยังต้องรักษาไว้ และทำให้มั่นคงขึ้น