“ก้าวไกล” ค้านระเบียบมหาดไทย ปรับเกณฑ์จ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ซัดเป็นการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ชูร่าง พ.ร.บ.บำนาญถ้วนหน้า จ่าย 3,000 บาททุกคนเท่ากัน
เมื่อเวลา 10.25 น. วันที่ 17 ส.ค. ที่รัฐสภา นายเซีย จำปาทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แถลงคัดค้านระเบียบกระทรวงมหาดไทย ลดบำนาญประชาชน พร้อมสนับสนุน พ.ร.บ.บำนาญถ้วนหน้า ว่า กรณีของการประกาศระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงิน เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2566 ที่ออกมาเมื่อวันที่ 11 ส.ค. และบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 12 ส.ค. ที่ผ่านมา เป็นของขวัญวันแม่ ที่มอบให้กับผู้สูงอายุทั้งประเทศ
นายเซีย กล่าวว่า พรรคก้าวไกล เราเห็นว่า ประกาศดังกล่าวเป็นการหมุนกงล้อระบบสวัสดิการย้อนกลับจากที่ไทยควรก้าวไปสู่การมีระบบสวัสดิการถ้วนหน้า กลับไปสู่ระบบสงเคราะห์ ที่ต้องพิสูจน์ความจน เพื่อได้รับการช่วยเหลือ เป็นการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างไม่นำให้อภัย และไม่น่าเกิดขึ้นในยุคโลกาภิวัตน์ที่ให้คุณค่ากับสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียม และปัญหาที่ทางเรากังวลว่าจะมีเพิ่มตามมา คือ เรื่องกฎเกณฑ์ที่จะต้องออกตามมาจากประกาศฉบับนี้ ซึ่งถ้าหากมีการใช้ฐานข้อมูลจากบัตรคนจน ก็มีการประเมินกัน ว่า จะมีผู้สูงอายุที่หลุดออกจากระบบ ไม่ได้รับเบี้ยผู้สูงอายุประมาณอีก 6 ล้านคน นอกจากนี้ ฐานข้อมูลของบัตรคนจนเอง ก็มีความไม่เที่ยงตรงอยู่พอสมควร เพราะมีการสำรวจว่ามีคนจนประมาณ 46% ที่ไม่ได้บัตร
“แปลว่า ข้อมูลตกหล่นจากฐานข้อมูลไปเยอะมาก ฉะนั้น ทางพรรคก้าวไกลเลยเห็นว่า เราจึงต้องมีการใหัสวัสดิการแบบถ้วนหน้า เพื่อไม่ต้องมาเสียเวลาพิสูจน์ความจนเพื่อจะรับเงิน 600 บาท หรือแค่ประมาณ 20 บาทต่อวันนี้ พรรคก้าวไกลขอคัดค้านการออกระเบียบดังกล่าวตามเหตุผลที่กล่าวมา และเราขอยืนยันในสิ่งที่เราได้หาเสียงไว้ คือ การสร้างสวัสดิการถ้วนหน้า ซึ่งได้มีการพิสูจน์มาแล้วหลายที่ในโลกว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ พรรคก้าวไกล เชื่อว่า สวัสดิการถ้วนหน้าไม่ได้มีราคาแพง ไม่เป็นภาระด้านงบประมาณ เมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้โดยตรง เพราะเราเชื่อว่า สวัสดิการถ้วนหน้า คือ สิ่งที่ประชาชนทุกคนควรได้รับ” นายเซีย กล่าว
นายเซีย กล่าวต่อว่า เราจะเตรียมยื่นร่าง พ.ร.บ.บำนาญถ้วนหน้า เพื่อเป็นก้าวแรกที่จะทำให้ระบบสวัสดิการของเราก้าวไปข้างหน้า โดยมีสาระสำคัญ คือ 1. มาตรา 5 ของ พ.ร.บ.ของเรา เรายืนยันว่า บุคคลทุกคนที่มีอายุหกสิบปีขึ้นไป ต้องได้รับบำนาญ แห่งชาติ โดยไม่ตัดสิทธิประโยชน์ของผู้สูงอายุที่ได้รับบำนาญตามกฎหมายอื่นหรือตามมติคณะรัฐมนตรี 2. จะต้องมีการกำหนดอัตราบำนาญแห่งชาติใหม่ทุกสามปี และ 3. ทุกคนต้องได้รับบำนาญต่อเดือนไม่ต่ำกว่าเส้นความยากจนของสำนักงานสภาพัฒน์ หรือตามที่เราเคยหาเสียงไว้ คือ ประมาณ 3,000 บาท และถ้าหากมีการปรับเส้นความยากจน ตัวเงินบำนาญตัวนี้ก็ต้องปรับขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน
“พรรคก้าวไกล เราเห็นว่า การยื่น พ.ร.บ.ฉบับนี้ จะเป็นก้าวแรกสู่สวัสดิการถ้วนหน้า และประเทศไทยจะเดินหน้าสู่รัฐสวัสดิการด้วยการมี Universal basic income ให้ทุกคนอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่ต้องพิสูจน์ความจนกันอีกต่อไป” นายเซีย กล่าว